พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่หลังสัญญาเช่าช่วง/เช่าต่อ การเสนอเอกสารสัญญาไม่ครบถ้วน และการอ้างเอกสารพยานหลักฐาน
หากจำเลยจะโต้แย้ง ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบโดยโจทก์แนบเอกสารสัญญาที่อ้างถึงในคำฟ้องเฉพาะบางส่วนของสัญญาเท่านั้นจึงต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณา และให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 จำเลยก็ต้องยกขึ้นคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ส่วนการส่งสำเนาพยานเอกสารนั้นเนื่องจากโจทก์อ้างเอกสารซึ่งมิได้อยู่ที่โจทก์ โจทก์จึงขอคำสั่งเรียกโดยไม่ส่งสำเนาให้จำเลย แต่แม้จะวินิจฉัยให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยว่าเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลก็มีอำนาจรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
แม้ผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้ เพราะจำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่ามาก่อนไม่ยอมออกไป และทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพัง แต่โจทก์ก็ได้ใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. ม.549 ประกอบด้วย ม.477 ขอให้ศาลเรียกผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ตาม ป.ว.พ. ม.57(3) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าโดยละเมิด มิใช่ฐานะที่จำเลยเป็นคู่สัญญาเช่ากับโจทก์ จึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. ม.538 ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
แม้ผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าไม่ได้ เพราะจำเลยซึ่งอยู่ในที่เช่ามาก่อนไม่ยอมออกไป และทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพัง แต่โจทก์ก็ได้ใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. ม.549 ประกอบด้วย ม.477 ขอให้ศาลเรียกผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ตาม ป.ว.พ. ม.57(3) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าโดยละเมิด มิใช่ฐานะที่จำเลยเป็นคู่สัญญาเช่ากับโจทก์ จึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. ม.538 ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อุทธรณ์เรื่องความเคลือบคลุมของฟ้อง และการอนุญาตให้เจ้าของที่ดินเข้าเป็นโจทก์ร่วม
การที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะชื่อโจทก์ในฟ้องไม่ถูกต้องและไม่ตรงกับความจริงมีถึง 2 คน จะให้จำเลยเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรแน่นั้นฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างเหตุแห่งความเคลือบคลุมของฟ้องโจทก์ขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากที่ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นฎีกานอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ร่วม แต่เข้าครอบครองที่ดินที่เช่าไม่ได้เพราะจำเลยไม่ยอมออกไป ถ้าโจทก์แพ้คดีโจทก์ไม่สามารถเรียกค่าทดแทนที่ไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินตามสัญญาจากโจทก์ร่วมได้และอาจถูกโจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายได้ด้วยดังนี้ จึงเป็นเหตุจำเป็นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)(ก) ที่จะอนุญาตให้หมายเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีได้ โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินได้
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ร่วม แต่เข้าครอบครองที่ดินที่เช่าไม่ได้เพราะจำเลยไม่ยอมออกไป ถ้าโจทก์แพ้คดีโจทก์ไม่สามารถเรียกค่าทดแทนที่ไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินตามสัญญาจากโจทก์ร่วมได้และอาจถูกโจทก์ร่วมเรียกค่าเสียหายได้ด้วยดังนี้ จึงเป็นเหตุจำเป็นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)(ก) ที่จะอนุญาตให้หมายเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีได้ โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128-2129/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะผู้จัดการมรดกเปลี่ยนแปลง: ผลต่อสิทธิร้องสอดในคดีมรดก
ศาลชั้นต้นสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องจึงร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความในคดีที่ทายาทพิพาทเรื่องแบ่งมรดกกัน ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ จำเลยในคดีนั้นฎีกา ระหว่างฎีกาศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลที่ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ให้ศาลพิจารณาคำขอตั้งผู้จัดการมรดกแล้วมีคำสั่งใหม่ ดังนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกและร้องสอด ไม่มีส่วนได้เสียที่จะร้องสอด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งที่มิชอบ เมื่อจำเลยปฏิเสธความเป็นผู้รับประกันภัย และการเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยตามฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ และรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถโดยประมาทชนรถที่เอาประกันเสียหาย จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารปลอม ความเสียหายเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างผู้เอาประกัน ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย และขอให้เรียกผู้เอาประกันกับลูกจ้างเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ปฏิเสธฟ้องว่า โจทก์มิใช่ผู้รับประกันภัย จึงไม่มีมูลที่จำเลยที่ 2 จะฟ้องแย้งโจทก์ตามสัญญาประกันภัยเพราะมิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิม เมื่อศาลไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย จึงไม่อาจเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายต้องเชื่อมโยงกับฟ้องเดิม หากปฏิเสธการรับประกันภัย ฟ้องแย้งต่อบริษัทประกันภัยจึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ และรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถโดยประมาทชนรถที่เอาประกันเสียหายจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารปลอม ความเสียหายเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างผู้เอาประกัน ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย และขอให้เรียกผู้เอาประกันกับลูกจ้างเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วย ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 2ปฏิเสธฟ้องว่า โจทก์มิใช่ผู้รับประกันภัย จึงไม่มีมูลที่จำเลยที่ 2 จะฟ้องแย้งโจทก์ตามสัญญาประกันภัยเพราะมิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิม เมื่อศาลไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2360-2361/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขอรับมรดกต้องทำในระหว่างพิจารณาคดีชั้นต้น ไม่สามารถทำได้ในชั้นบังคับคดี
ร้องสอดขอรับมรดกตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1749 ต้องทำระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จะร้องชั้นบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดคดีมรดก: ศาลต้องรับคำร้องก่อนพิพากษา แม้การพิจารณาจะสิ้นสุดแล้ว
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องสอดให้แก่ผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749 นั้นเป็นเรื่องที่ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนพิพากษา เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา แม้การพิจารณาจะถือว่าสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 187 แล้วก็ตามสิทธิของผู้ร้องก็ยังมีอยู่ศาลชั้นต้นจะไม่รับคำร้องโดยอ้างว่าเป็นการประวิงคดีหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการร้องสอดเพื่อกันส่วนทรัพย์มรดก แม้พิจารณาคดีสิ้นสุดแล้วก็ยังมีอยู่
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาขอให้ศาลกันส่วนของผู้ร้องสอดให้แก่ผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1749 นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นได้ก่อนพิพากษา เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา แม้การพิจารณาจะถือว่าสิ้นสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 187 แล้วก็ตาม สิทธิของผู้ร้องก็ยังมีอยู่ ศาลชั้นต้นจะไม่รับคำร้องโดยอ้างว่าเป็นการประวิงคดีหาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องสอด & เจตนายกทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการฟ้องซ้ำและการให้ทรัพย์โดยมีเจตนาเฉพาะ
ผู้ร้องสอดเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับผู้ร้องสอด โจทก์เอาไปให้จำเลยโดยผู้ร้องสอดไม่รู้เห็นยินยอม แล้วผู้ร้องสอดขอถอนฟ้องในวันสืบพยานนัดแรก โดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกับคดีที่ผู้ร้องสอดเคยฟ้องจำเลย ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาในคดีอีก ดังนี้ คำร้องสอดถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจร้องสอด(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2002/2511)
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องสอด, เจตนายกทรัพย์, การซื้อทรัพย์โดยมีเจตนาให้เป็นสินส่วนตัว
ผู้ร้องสอดเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับผู้ร้องสอด โจทก์เอาไปให้จำเลยโดยผู้ร้องสอดไม่รู้เห็นยินยอม แล้วผู้ร้องสอดขอถอนฟ้องในวันสืบพยานนัดแรกโดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกับคดีที่ผู้ร้องสอดเคยฟ้องจำเลย ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาในคดีอีก ดังนี้ คำร้องสอดถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจร้องสอด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2002/2511)
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลยเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลยเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่