พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์ก่อนล้มละลายและการทำลายการโอน อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และความสามารถในการฟ้องคดีของสตรี
ทรัพย์ที่ผู้ล้มละลายโอนไปยังผู้อื่นแล้ว ก่อนล้มละลายนั้นว่าโดยปรกติย่อมยึดไม่ได้ เว้นแต่จะมีการทำลายการโอนนั้นเสียก่อน อำนาจที่จะขอทำลายการโอนนั้นเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่ของโจทก์ในคดีล้มละลายไม่ ฉะนั้นเมื่อมีผู้ร้อง ร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลายบางสิ่ง โดยอ้างว่าได้รับโอนมาจากผู้ล้มละลายโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นสมควร จึงสั่งให้ถอนการยึด ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ย่อมไม่มีผล
หญิงมีสามีย่อมเป็นผู้ไร้ความสามารถแต่เฉพาะในกรณีที่จะผูกพันสินบริคณห์เท่านั้น ส่วนในแง่ผูกพันสินส่วนตัว หาได้เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถไม่ จึงจะถือว่าหญิงมีสามีเป็ผู้ไร้ความสามารถ จะฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 56 ยังมิได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีต้องตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1469 หรือมาตราอื่น ๆ ที่ห้ามไว้ โดยเฉพาะถ้าหากมีเท่านั้น
หญิงมีสามีย่อมเป็นผู้ไร้ความสามารถแต่เฉพาะในกรณีที่จะผูกพันสินบริคณห์เท่านั้น ส่วนในแง่ผูกพันสินส่วนตัว หาได้เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถไม่ จึงจะถือว่าหญิงมีสามีเป็ผู้ไร้ความสามารถ จะฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 56 ยังมิได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีต้องตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1469 หรือมาตราอื่น ๆ ที่ห้ามไว้ โดยเฉพาะถ้าหากมีเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์ก่อนล้มละลายและการทำลายการโอน รวมถึงความสามารถในการฟ้องคดีของสตรี
ทรัพย์ที่ผู้ล้มละลายโอนไปยังผู้อื่นแล้ว ก่อนล้มละลายนั้นว่าโดยปกติย่อมยึดไม่ได้ เว้นแต่จะมีการทำลายการโอนนั้นเสียก่อน อำนาจที่จะขอทำลายการโอนนั้นเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่ของโจทก์ในคดีล้มละลายไม่ ฉะนั้นเมื่อมีผู้ร้อง ร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลายบางสิ่ง โดยอ้างว่าได้รับโอนมาจากผู้ล้มละลายโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นสมควร จึงสั่งให้ถอนการยึด ดังนี้โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ย่อมไม่มีผล
หญิงมีสามีย่อมเป็นผู้ไร้ความสามารถแต่เฉพาะในกรณีที่จะผูกพันสินบริคณห์เท่านั้น ส่วนในแง่ผูกพันสินส่วนตัวหาได้เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถไม่ จึงจะถือว่าหญิงมีสามีเป็นผู้ไร้ความสามารถ จะฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 ยังมิได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 หรือมาตราอื่นๆ ที่ห้ามไว้โดยเฉพาะถ้าหากมีเท่านั้น
หญิงมีสามีย่อมเป็นผู้ไร้ความสามารถแต่เฉพาะในกรณีที่จะผูกพันสินบริคณห์เท่านั้น ส่วนในแง่ผูกพันสินส่วนตัวหาได้เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถไม่ จึงจะถือว่าหญิงมีสามีเป็นผู้ไร้ความสามารถ จะฟ้องคดีต้องได้รับอนุญาตจากสามีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 ยังมิได้ เว้นแต่จะเป็นกรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 หรือมาตราอื่นๆ ที่ห้ามไว้โดยเฉพาะถ้าหากมีเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนำทรัพย์สิน: สิทธิบุริมสิทธิของผู้รับจำนำไม้สัก กรณีจำเลยมีสิทธิใช้ประโยชน์ทรัพย์
ผู้รับจำนำยื่นคำร้องต่อศาลว่าทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ศาลยึดนั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้จำนำต่อผู้ร้องไว้ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์นั้นขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์นั้น ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่นรวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังนี้ คดีปรับเข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150คือคำขอคำนวณเป็นราคาเงินได้ ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง 500,000 บาทขอเปิดบัญชีอีก200,000 บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่ ณ โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกันผู้ร้องได้เอาตราธนาคารตีประทับบนไม้ และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่จำเลยมีสิทธิที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้ โดยขออนุญาตผู้ร้องแต่ต้องหามาทดแทนดังนี้ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตามกฎหมาย เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้ร้องจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตามกฎหมายมิได้
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง 500,000 บาทขอเปิดบัญชีอีก200,000 บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่ ณ โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกันผู้ร้องได้เอาตราธนาคารตีประทับบนไม้ และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่จำเลยมีสิทธิที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้ โดยขออนุญาตผู้ร้องแต่ต้องหามาทดแทนดังนี้ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตามกฎหมาย เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้ร้องจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตามกฎหมายมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนำทรัพย์สิน: การครอบครองทรัพย์สินเป็นสำคัญในการบังคับสิทธิ
ผู้รับจำนำยื่นคำร้องต่อศาลว่าทรัพย์ทีโจทก์ขอให้ศาลยึด - นั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้จำนำต่อผุ้ร้องไว้ ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์นั้น ขอให้เอาที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์นั้น ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหน้าที่อื่น รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ดังนี้ คดีปรับเข้า ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 150 คือคำขอคำนวณเป็นราคาเงินได้ ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง 500,000บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่ ณ โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน ผู้ร้องได้เอาตราธนาคารดีประทับบนไม้ และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้ โดยขออนุญาตผู้ร้อง แต่ต้องหามาทดแทน ดังนี้ ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตาม ก.ม. เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้รองจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตาม ก.ม. มิได้
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง 500,000บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่ ณ โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน ผู้ร้องได้เอาตราธนาคารดีประทับบนไม้ และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้ โดยขออนุญาตผู้ร้อง แต่ต้องหามาทดแทน ดังนี้ ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตาม ก.ม. เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้รองจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตาม ก.ม. มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเพื่อเป็นจำเลยร่วมในคดีบุกรุกที่ดิน: สิทธิของผุ้ร้องสอดถูกจำกัดเมื่อจำเลยขาดนัด
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกทึ่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดชั้นพิจารณาในวันสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว มีผุ้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยแต่เป็นของผู้รวมกับจำเลยในคดีนั้นด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องสอดตั้งสิทธิของผู้ร้องสอดขึ้นมาเองโดยลำพัง ไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 57 (2) ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยรวมด้วยได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดชั้นพิจารณาในวันสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว มีผุ้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยแต่เป็นของผู้รวมกับจำเลยในคดีนั้นด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องสอดตั้งสิทธิของผู้ร้องสอดขึ้นมาเองโดยลำพัง ไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 57 (2) ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยรวมด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม: สิทธิที่ตั้งขึ้นเองโดยลำพังไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดชั้นพิจารณาในวันสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว มีผู้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยแต่เป็นของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีนั้นด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องสอดตั้งสิทธิของผู้ร้องสอดขึ้นมาเองโดยลำพังไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดชั้นพิจารณาในวันสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว มีผู้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยแต่เป็นของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดจึงขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีนั้นด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องสอดตั้งสิทธิของผู้ร้องสอดขึ้นมาเองโดยลำพังไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยมีหน้าที่ส่งคืนทรัพย์เช่า แม้จะมอบให้บุคคลภายนอก และต้องจัดการเรียกคืนการครอบครอง
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืน เพราะเลิกสัญญาเช่ากันแล้ว ผู้เช่าให้การว่าทรัพย์ที่เช่านั้น บุคคลภายนอกได้ยึดหน่วงไว้โดยอ้างว่า ผู้ให้เช่าค้างชำระค่าเช่า และทำของของเขาเสียหายจึงไม่สามารถส่งคืนได้ จึงขอให้เรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งให้หมายเรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้และเมื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับให้บุคคลภายนอกนั้นส่งมอบทรัพย์ที่เช่าแก่ผู้ให้เช่าได้ไม่เป็นการนอกคำขอท้ายฟ้องเพราะถือได้ว่าคำขอย่อมบังคับเอาแก่จำเลยทุกคนโดยร่วมกันและแทนกัน
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขา แล้วครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เขาแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืน จึงไปขอจากบุคคลภายนอก ๆ ไม่ยอมคืนให้ ดังตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตน ถ้าไม่+ารดังกล่าวแล้ว จะอ้าง+เป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ ไม่ได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขา แล้วครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เขาแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืน จึงไปขอจากบุคคลภายนอก ๆ ไม่ยอมคืนให้ ดังตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตน ถ้าไม่+ารดังกล่าวแล้ว จะอ้าง+เป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ให้บุคคลภายนอกหลังเลิกสัญญา ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกคืนจากบุคคลภายนอกได้
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนเพราะเลิกสัญญาเช่ากันแล้ว ผู้เช่าให้การว่าทรัพย์ที่เช่านั้น บุคคลภายนอกได้ยึดหน่วงไว้โดยอ้างว่า ผู้ให้เช่าค้างชำระค่าเช่า และทำของของเขาเสียหายจึงไม่สามารถส่งคืนได้ จึงขอให้เรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งให้หมายเรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้และเมื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับให้บุคคลภายนอกนั้นส่งมอบทรัพย์ที่เช่าแก่ผู้ให้เช่าได้ไม่เป็นการนอกคำขอท้ายฟ้อง เพราะถือได้ว่าคำขอย่อมบังคับเอาแก่จำเลยทุกคนโดยร่วมกันและแทนกันได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขาแล้ว ครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เช่าแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืนจึงไปขอจากบุคคลภายนอกบุคคลภายนอกไม่ยอมคืนให้ ดังนี้ตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตนถ้าไม่จัดการดังกล่าวแล้ว จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ไม่ได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขาแล้ว ครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เช่าแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืนจึงไปขอจากบุคคลภายนอกบุคคลภายนอกไม่ยอมคืนให้ ดังนี้ตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตนถ้าไม่จัดการดังกล่าวแล้ว จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์และการไม่ห้ามฟ้องบุพการี
ยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดินที่มีโฉนด ซึ่งมีผู้ยกให้ตนปกครองมาจนได้กรรมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนให้ผู้ร้องนั้น เมื่อบิดาผู้ร้องคัดค้านโต้แย้งเข้ามาทำให้คดีแปรสภาพเป็นคดีมีข้อพิพาทขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) ก็ตามและการที่ผู้คัดค้านเข้ามามีฐานะเป็นคู่ความ ไม่ใช่เป็นการกระทำของผู้ร้องดังนั้น จึงเรียกไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟ้องบุพการีของตนคดีจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงกรรมสิทธิในที่ดินที่ได้จากการยกให้และการครอบครอง การเปลี่ยนแปลงสภาพคดีจากคำร้องเป็นคดีมีข้อพิพาท
ยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่ดินที่มีโฉนด ซึ่งมีผู้ยกให้ตนปกครองมาจนได้กรรมสิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1382 และขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนให้ผู้ร้องนั้น เมื่อบิดาผู้ร้องคัดค้านโต้แย้งเข้ามาทำให้คดีแปรสภาพเป็นคดีมีข้อพิพาทขึ้นตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 188(4) ก็ตามและการที่ผู้คัดค้านเข้ามามีฐานะเป็นคู่ความ ไม่ใช่เป็นการกระทำของผู้ร้อง ดังนั้นจึงเรียกไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟ้องบุพพการีของตน คดีจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1534