พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวง และการรับสารภาพที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเดิม
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องคดีด้วยลายลักษณ์อักษรเพียงแต่มีรายละเอียดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9ส่วนจำเลยที่ 6 ถึงที่ 9 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะเป็นตัวการซึ่งโจทก์ได้อ้าง ป.อ. มาตรา83 มาด้วยแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใด ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1,2,4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1,2,4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บาดแผลจากการทำร้ายร่างกายไม่ถึงขั้นอันตรายสาหัส ศาลลดโทษจาก 297 เป็น 295
โจทก์ร่วมถูกชกบริเวณใบหน้าเป็นรอยฟกช้ำและดั้งจมูกหักแต่สามารถไปไหนมาไหน และไปทำงานได้ตามปกติ แม้แพทย์มีความเห็นว่าใช้เวลารักษาบาดแผลประมาณ 30 วัน ก็เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับการรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติเท่านั้นยังไม่ถึงขนาดเป็นอันตรายสาหัส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อันตรายสาหัสจากการทำร้ายร่างกาย: เกณฑ์การประเมินอาการป่วยเจ็บและระยะเวลาพักฟื้น
โจทก์ร่วมถูกชกบริเวณใบหน้าเป็นรอยฟกช้ำและดั้งจมูกหักแต่สามารถไปไหนมาไหน และไปทำงานได้ตามปกติ แม้แพทย์มีความเห็นว่า ใช้เวลารักษาบาดแผลประมาณ 30 วัน ก็เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับ การรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกติเท่านั้น ยังไม่ถึงขนาดเป็นอันตรายสาหัส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธอันตรายโดยเจตนาและบันดาลโทสะ
จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผากด้านขวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งเข้ามาขัดขวางไว้จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะ จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยใช้มีดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ศาลพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผากด้านขวาได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งเข้ามาขวางไว้จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะ จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามป.อ. มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยใช้มีดจนบาดเจ็บสาหัส ศาลพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกที่หน้าผากด้านขวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมที่ 1 วิ่งเข้ามาขวางไว้ จึงถูกจำเลยฟันที่ศีรษะจำเลยจะฟันซ้ำ โจทก์ร่วมที่ 2 ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ฆ่า: การพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีความยาวรวมทั้งด้ามประมาณ 6 นิ้วฟุต จำเลยเลือกแทงผู้เสียหายที่หน้าอกด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย มีบาดแผลบริเวณอก ด้านซ้าย มีเลือดและลมในช่องเยื่อหุ้มปอด บาดแผลจะหายในเวลา 7 วัน ในกรณีไม่มีภาวะแทรกซ้อน บาดแผลดังกล่าวเพียงแต่ลึกถึงเยื่อหุ้มปอด ไม่ได้ถึงเนื้อปอด แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงโดยแรง และเมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายเพียงทีเดียวแล้วหลบหนีไป ไม่ได้แทงซ้ำอีกทั้ง ๆที่มีโอกาสกระทำได้ จึงส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าตั้งใจเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีความยาวรวมทั้งด้ามประมาณ 6 นิ้วฟุต จำเลยเลือกแทงผู้เสียหายที่หน้าอกด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย มีบาดแผลบริเวณอกด้านซ้าย มีเลือดและลมในช่องเยื่อหุ้มปอดบาดแผลจะหายในเวลา 7 วัน ในกรณีไม่มีภาวะแทรกซ้อน บาดแผลดังกล่าว เพียงแต่ลึกถึงเยื่อหุ้มปอด ไม่ได้ถึงเนื้อปอด แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงโดยแรงและเมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายเพียงทีเดียวแล้วหลบหนีไป ไม่ได้แทงซ้ำอีก ทั้ง ๆที่มีโอกาสกระทำได้ จึงส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าตั้งใจเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์หลังการกระทำ
มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีความยาวรวมทั้งด้ามประมาณ 6 นิ้วฟุต จำเลยเลือกแทงผู้เสียหายที่หน้าอกด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย มีบาดแผลบริเวณด้านซ้ายมีเลือดและลมในช่องเยื่อหุ้มปอด บาดแผลจะหายในเวลา 7 วัน ในกรณีไม่มีภาวะแทรกซ้อน บาดแผลดังกล่าวเพียงแต่ลึกถึงเยื่อหุ้มปอดไม่ได้ถึงเนื้อปอด แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงโดยแรงและเมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายเพียงทีเดียวแล้วหลบหนีไป ไม่ได้แทงซ้ำอีกทั้ง ๆ ที่มีโอกาสกระทำได้ ดังนี้ส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าตั้งใจเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาฆ่า จึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนเสียโฉมและประเด็นการรอการลงโทษโดยคำนึงถึงพฤติการณ์และคำร้องของผู้เสียหาย
ใบหูเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ประกอบรูปหน้าให้งามเมื่อใบหูขาดไปถึงหนึ่งในสาม ย่อมจะทำให้รูปหน้าเสียความงามอันเป็นการเสียโฉมอย่างติดตัวแม้ผู้เสียหายจะรักษาตัวไม่เกิน 14 วัน ผู้เสียหายก็ได้รับอันตรายสาหัสแล้ว
ความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้องกฎหมายมิได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วพิพากษาโดยไม่ สืบพยานได้.
ความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้องกฎหมายมิได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้วพิพากษาโดยไม่ สืบพยานได้.