พบผลลัพธ์ทั้งหมด 581 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7665/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากทำร้ายร่างกายเป็นทำร้ายร่างกายเล็กน้อย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษตามความผิดที่พิจารณาได้
ผู้เสียหายมีบาดแผลถลอกและฟกช้ำที่คอด้านขวาขนาด 1 x 2 เซนติเมตร และมีบาดแผลถลอกฟกช้ำที่โหนกแก้มซ้ายขนาด 1 x 1 เซนติเมตร แพทย์มีความเห็นว่าเกิดจากถูกของแข็งไม่มีคมกระแทกโดยแรง ใช้เวลารักษาประมาณ 7 วัน จะหายเป็นปกติ ถือได้ว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา 295 แต่ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา 391 ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 391 ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยในการกระทำตามที่พิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. ฆ่าโดยเจตนา: การประเมินความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายกับผู้เสียหายหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกประกอบกับบาดแผลที่ผู้ตายกับผู้เสียหายได้รับ ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง มีบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะด้านซ้ายและที่กรามซ้าย หน้าผากด้านขวาบวมช้ำมีเลือดออกจากจมูกและหูทั้งสองข้างบาดแผลฉีกขาดและถลอกที่แขนซ้ายและเท้าขวา สมองช้ำอย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายจนผู้ตายฟุบคว่ำหน้าทันที ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ใช้ขวดเบียร์ตีกลางศีรษะผู้ตายอย่างแรงและย่อมจะเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้สมองซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถูกทำลายและทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุรุนแรงที่จะต้องฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายมีบาดแผลฉีกขาดหลังศีรษะด้านซ้ายก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ทำร้าย ซึ่งอาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ได้ จำเลยที่ 1มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำส่วนนี้ด้วย คงมีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตายเมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกใช้โซ่เหล็กฟาดหลายครั้งใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะและใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อพิจารณาจากลักษณะของบาดแผลประกอบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายว่ารักษาภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนแสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายไม่ร้ายแรงจนถึงกับเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกต่อผู้เสียหายจึงเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกใช้โซ่เหล็กฟาดหลายครั้งใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะและใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อพิจารณาจากลักษณะของบาดแผลประกอบความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจร่างกายว่ารักษาภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนแสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายไม่ร้ายแรงจนถึงกับเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การกระทำของจำเลยที่ 1กับพวกต่อผู้เสียหายจึงเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2450/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายในงานสังสรรค์ ศาลลดโทษจากทำร้ายจนถึงแก่ความตายเป็นทำร้ายร่างกายธรรมดา
ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ตายและกลุ่มจำเลยที่ 4 ต่างฝ่ายต่างไปเที่ยวหาความสำราญด้วยกันในที่เกิดเหตุโดยมิได้ประสงค์จะก่อการวิวาท หากแต่การวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจำเลยที่ 4 ไม่มีส่วนคบคิดด้วย ทั้งผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่ถูกแทงด้วยเหล็กขูดชาฟท์ของบุคคลอื่นที่มิใช่จำเลยที่ 4 ความตายของผู้ตายจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 4 ดังนี้ จะให้ชี้ชัดว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 ยังไม่ได้ จำเลยที่ 4 คงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามที่กระทำไปเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2300/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า, พยายามฆ่า, การสนับสนุนความผิด, การกระทำโดยรู้เห็นเป็นใจ
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับแล่นผ่านบริเวณที่ผู้เสียหายกับพวกนั่งดื่มสุราอยู่ ต่อมาจำเลยที่ 1 ก็นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 มาจอดติดเครื่องรออยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 ถึง 2 เมตร จำเลยที่ 1 ลงจากรถแล้วเข้าไปใช้ไม้ท่อนกลม ผิวขรุขระ เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว ยาว 1 ช่วงแขน ตีศีรษะผู้เสียหาย 2 ถึง 3 ครั้ง จนผู้เสียหายหมดสติ การที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนขนาดใหญ่ตีผู้เสียหายที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ 2 ถึง 3 ครั้ง จนเป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะแตก หากรักษาไม่ทันอาจได้รับอันตรายถึงชีวิต และจำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน แสดงว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะมีบาดแผลเพียงแห่งเดียวก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
จำเลยที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์ติดเครื่องรอจำเลยที่ 1 อยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 1 ถึง 2 เมตร และสามารถเห็นการกระทำของจำเลยที่ 1 โดยตลอด จำเลยที่ 2 ไม่รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ก่อนจะมากระทำความผิดแต่ทราบได้ในขณะที่เห็นจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิด จำเลยที่ 2 ก็ยังคงจอดรถรออยู่พร้อมที่จะรับจำเลยที่ 1 พาหลบหนีไปเพื่อให้พ้นการจับกุมได้ทุกเมื่อและก็รับจำเลยที่ 1 หลบหนีไปด้วย อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในขณะกระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ มาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
จำเลยที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์ติดเครื่องรอจำเลยที่ 1 อยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 1 ถึง 2 เมตร และสามารถเห็นการกระทำของจำเลยที่ 1 โดยตลอด จำเลยที่ 2 ไม่รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ก่อนจะมากระทำความผิดแต่ทราบได้ในขณะที่เห็นจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิด จำเลยที่ 2 ก็ยังคงจอดรถรออยู่พร้อมที่จะรับจำเลยที่ 1 พาหลบหนีไปเพื่อให้พ้นการจับกุมได้ทุกเมื่อและก็รับจำเลยที่ 1 หลบหนีไปด้วย อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในขณะกระทำความผิดครบองค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ มาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันข่มขืนโทรมหญิง แม้ไม่สำเร็จความใคร่ เจตนาพยายามกระทำความผิดก็ถือเป็นความผิดฐานข่มขืน
จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิด แม้จะปรากฏว่าหลังจากจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว พวกของจำเลยคนหนึ่งที่ร่วมกันมาฉุดผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเข้าข่มขืนกระทำชำเราเป็นคนต่อมาจะไม่สามารถ สอดใส่อวัยวะเพศของตนเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้เพราะอวัยวะเพศไม่แข็งตัวก็ตาม แต่การที่พวกของจำเลยพยายามสอดใส่อยู่นาน 10 นาที ก็แสดงให้เห็นเจตนาที่จะรุมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงได้ชื่อว่าเป็นการร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานชิงทรัพย์และการริบของกลาง: การประเมินความร้ายแรงของบาดแผลและการใช้ยานพาหนะ
ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากด้านขวาและคอด้านข้างแถบขวาชัดเจน ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วันหาย จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4919/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงและทำร้ายต่อเนื่อง ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการพยายามฆ่า
บริเวณที่ผู้เสียหายถูกแทงอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายลึกประมาณ 3 ถึง 4เซนติเมตร ถ้าหากถูกแทงแรงกว่านี้ อาจจะทำให้ถึงแก่ความตายเนื่องจาก ทะลุหัวใจ แม้อาวุธมีดของกลางจะเป็นมีดขนาดเล็กที่ใช้ปลอกผลไม้ แต่ก็มีความยาวเฉพาะใบมีดถึง 11 เซนติเมตร กว้าง 1.7 เซนติเมตร และมีความแหลมพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ เมื่อจำเลย แทงผู้เสียหายบริเวณอวัยวะสำคัญจนมีดหัก แสดงว่า แทงโดยแรงแล้ว ยังได้ใช้ขวดสุราและขวดน้ำตีที่ศีรษะผู้เสียหายอีกหลายครั้ง ส่องแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมิใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อการกระทำของ จำเลยไม่บรรลุผลจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4679/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหรือไม่: ศาลลดโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกาย พร้อมรอการลงโทษ
จำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุบาดหมางกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นฝ่ายมาหาจำเลย แม้ผู้เสียหายจะทวงเงินจากจำเลยไม่ได้ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจหรือต่อว่าจำเลย ส่วนที่จำเลยขอเงินจากผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี สาเหตุเท่านี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าผู้เสียหาย การที่จำเลยพูดว่า "ถ้าไม่ให้มึงตาย" จะถือเอาเป็นจริงตามคำพูดนั้นหาได้ไม่ ต้องดูพฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นประกอบด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนติดกับล้อรถจักรยานยนต์ด้านหน้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะทำร้ายผู้เสียหายได้ถนัด มีดโกนของกลางมีใบมีดกว้างเพียง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร เป็นมีดโกนเก่าที่จำเลยเคยใช้โกนหนวดและเคราให้ผู้เสียหายโดยสภาพแล้วไม่ใช่อาวุธ แม้จำเลยจะใช้ปาดที่บริเวณลำคอแต่ก็ปาดครั้งเดียว บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเป็นเพียงแผลลึกถึงใต้ชั้นผิวหนังแพทย์ลงความเห็นว่าใช้เวลารักษา 7 วันและไม่ปรากฏว่าจำเลยจะใช้มีดโกนของกลางทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำ โดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2895/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ศาลฎีกาแก้โทษจำคุกเป็นปรับและรอการลงโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 295 จำเลยให้การรับสารภาพ และตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่าสภาพทั่วไปผู้เสียหายรู้สึกตัวดี มีอาการปวดศีรษะ ลักษณะการบาดเจ็บ ฟกซ้ำบริเวณคางใต้ตาซ้าย ริมผีปากล่าง ชายโครงซ้ายและน่อง ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ5 วัน การบาดเจ็บเช่นนี้ถือว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 295
ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยและเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเนื่องจากปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ตรี ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติความประพฤติของจำเลยตลอดจนสภาพความผิดประกอบกันแล้ว กรณีมีเหตุอันควรปรานีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี และประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ต่อไปศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็น ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง แต่ให้ลงโทษปรับจำเลย อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้และคุมความประพฤติจำเลยไว้นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยและเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเนื่องจากปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ตรี ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติความประพฤติของจำเลยตลอดจนสภาพความผิดประกอบกันแล้ว กรณีมีเหตุอันควรปรานีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี และประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ต่อไปศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็น ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง แต่ให้ลงโทษปรับจำเลย อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้และคุมความประพฤติจำเลยไว้นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา 29,30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2895/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายผู้อื่น: ศาลฎีกาแก้โทษจำคุกเป็นปรับและคุมความประพฤติ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์และประวัติผู้ต้องหา
ตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่าสภาพทั่วไปผู้เสียหายรู้สึกตัวดี มีอาการปวดศีรษะ ลักษณะการบาดเจ็บ ฟกช้ำบริเวณคาง ใต้ตาซ้าย ริมฝีปากล่าง ชายโครงซ้ายและน่อง ความเห็นแพทย์ใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 5 วัน การบาดเจ็บเช่นนี้ถือว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ของจำเลยเนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี แต่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเพียงแต่ใช้กำลังประทุษร้าย ชก ต่อย เตะและถีบผู้เสียหายเท่านั้น ตามพฤติการณ์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติของจำเลยตลอดจนสภาพความผิดประกอบกันแล้ว กรณีจึงมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีและประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ต่อไป แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำเห็นควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติจำเลยไว้
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ของจำเลยเนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี แต่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเพียงแต่ใช้กำลังประทุษร้าย ชก ต่อย เตะและถีบผู้เสียหายเท่านั้น ตามพฤติการณ์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติของจำเลยตลอดจนสภาพความผิดประกอบกันแล้ว กรณีจึงมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีและประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ต่อไป แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำเห็นควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและคุมความประพฤติจำเลยไว้