พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3319/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการใช้วิธีการชั่วคราวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรอผลคำพิพากษาถึงจะเกิดสิทธิ
ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ใช้สิทธิ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในเรื่อง วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนด ให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่งใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว ดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสอง เป็นไปโดยมิชอบ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในลักษณะดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ ในภารจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และยื่นคำขอคุ้มครอง ชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหาย ต้องรื้อรั้วและยอมให้ บุคคลอื่นใช้ทางพิพาท เป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่ง อนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์เป็นความผิดของโจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263(1)แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้น จะตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3319/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรอจนกว่าคดีถึงที่สุด
ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ใช้สิทธิ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องวิธีการ ชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนด ให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่งใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว ดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ ทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในลักษณะดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภารจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และยื่น คำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหายต้องรื้อรั้วและยอมให้บุคคลอื่นใช้ทางพิพาทเป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ เป็นความผิดของโจทก์ ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263(1)ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี แต่ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3319/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากคำขอคุ้มครองชั่วคราวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สิทธิเรียกร้องยังไม่เกิด
ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ใช้สิทธิตามบทบัญญัติของ ป.วิ.พ.ในเรื่องวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนดให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่งใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้วดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของป.วิ.พ.ในลักษณะดังกล่าว
ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภาระจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหาย ต้องรื้อรั้วและยอมให้บุคคลอื่นใช้ทางพิพาท เป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์เป็นความผิดของโจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 263(1) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้งศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้
ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภาระจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหาย ต้องรื้อรั้วและยอมให้บุคคลอื่นใช้ทางพิพาท เป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์เป็นความผิดของโจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 263(1) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้งศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 488/2488
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์หลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง การฟ้องเรียกค่าเสียหายต้องระบุเหตุละเมิดชัดเจน
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยยึดทรัพย์โจทก์ ซึ่งในคดีนั้นศาลยกฟ้อง แต่ฟ้องมิได้ระบุกรณีที่จำเลยจะต้องรับผิด ดังบัญญัติไว้ในวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.263 (1) ดังนี้ถือว่าขาดข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้จำเลยต้องรับผิดศาลต้องยกฟ้อง