พบผลลัพธ์ทั้งหมด 292 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการได้รับเงินรางวัลเจ้าพนักงานจากการจับฝิ่น ต้องทำการสืบสวนและจับกุมเอง หรือนำความมาแจ้งจนจับกุมได้
ระเบียบการจ่ายเงินรางวัลฝิ่น พ.ศ.2490 ข้อ 4 ที่ว่า'เงินรางวัลเจ้าพนักงานคือ เงินจ่ายให้แก่เจ้าพนักงานผู้ที่ได้ทำการสืบสวนจับกุมจนเป็นผลสำเร็จด้วยตนเองฯลฯ' นั้น หมายถึงการจ่ายให้เจ้าพนักงานผู้ที่ได้ทำการทั้งสืบสวนและจับกุม ฉะนั้นเจ้าพนักงานซึ่งทำการจับกุมแต่อย่างเดียวมิได้ร่วมสืบสวนด้วยจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัล
การไม่จ่ายเงินรางวัลหรือจ่ายน้อยกว่าระเบียบข้อ 19นั้น จะต้องมีเหตุผลและต้องเป็นเหตุผลที่ชอบที่ควรตามนับแห่งฎีกาที่ 1153/2508
การไม่จ่ายเงินรางวัลหรือจ่ายน้อยกว่าระเบียบข้อ 19นั้น จะต้องมีเหตุผลและต้องเป็นเหตุผลที่ชอบที่ควรตามนับแห่งฎีกาที่ 1153/2508
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องค่าโดยสารเครื่องบิน: ใช้ 10 ปี ตามมาตรา 164 ไม่ใช่ 2 ปี ตามมาตรา 165(3)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าโดยสารเครื่องบินอายุความเรียกร้องมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(3)
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อมีฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อมีฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องค่าโดยสารเครื่องบิน: 10 ปี ตามมาตรา 164 ไม่ใช่ 2 ปี ตามมาตรา 165(3)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าโดยสารเครื่องบินอายุความเรียกร้องมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(3)
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนจำหน่ายสินค้า: หน้าที่, ความรับผิด, อายุความ และขอบเขตการฟ้องเรียกทรัพย์สิน
(1) องค์การสรรพาหารเป็นราชการไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ไม่ว่าเป็นเอกสารประเภทใด (2) กรณีที่จำเลยมิใช่แต่เพียงเป็นสื่อกลางให้เขาทำสัญญากัน หากแต่จำเลยยังรับสินค้าไปจำหน่าย และชำระเงินค่าสินค้าคืนให้ตัวการโดยจำเลยได้รับบำเหน็จเป็นผลประโยชน์ และจำเลยยังมีอำนาจครอบครองสินค้า แล้วส่งมอบแก่ผู้ซื้อเรียกและรับเงินค่าสินค้า ทั้งหนังสือก็ยังระบุว่าหนังสือสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า อนึ่งการจัดหาระวางเรือโดยจำเลยตกลงกับผู้รับผลแทน โดยองค์การสรรพาหารเสียค่าระวางเองนั้น ย่อมเป็นการที่จำเลยทำในฐานเป็นตัวแทน มิใช่เป็นนายหน้าส่วนการที่จำเลยรับสินค้าไป แม้จะมีผู้ควบคุมโดยต้องตกลงราคากับผู้ควบคุมก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งขององค์การ(ตัวการ) (3) การส่งสินค้า เมื่อมีข้อผูกพันอย่างใดก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงแม้บริษัทจำเลยจะมีวัตถุประสงค์ทำกิจการเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อจำเลยรับสินค้าไปขายแล้ว หักเอาบำเหน็จออกจากเงินที่ขายสินค้าไว้แล้วก็ต้องคืนเงินค่าสินค้าที่รับไปจำเลยจะยกเรื่องวัตถุประสงค์ของบริษัทมาสู้ เพื่อไม่ต้องคืนค่าสินค้าให้เขาหาได้ไม่
อนึ่ง เป็นการมิชอบในการที่จะอ้างว่าองค์การตั้งขึ้นไม่ชอบ ได้เงินมาไม่ชอบ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคืนเงินที่ตนรับไปในฐานตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย
(4) เมื่อองค์การสรรพาหารเป็นราชการในสังกัดสำนักคณะรัฐมนตรี โจทก์ โจทก์ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยังตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนได้ (5) ถึงแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่า จำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแต่โจทก์มิได้เรียกค่าเสียหายเนื่องจากตัวแทนทำให้เกิดขึ้นแก่ตัวการหากแต่เรียกเอาเงินที่จำเลยหักไว้เกินคืน คือ เรียกเอาทรัพย์ของตนซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเองคืน นั้น คดีมีอายุความ 10 ปี (6) ถึงแม้เอกสารที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าและการส่งสินค้าออกก็ทำในนามขององค์การสรรพาหาร โจทก์ก็ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ ไม่ใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร (7) การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ 1 บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรับขน ส่วนองค์การสรรพาหารมิใช่ผู้รับขน จะเรียกเอาค่าระวางจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ถึงแม้องค์การสรรพาหารจะเถียงว่าเป็นผู้เหมาลำเป็นเจ้าของระวางคนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมิได้มีสัญญารับขนกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทรับขนจะต้องรับผิดต่อองค์การสรรพาหารเอง
อนึ่ง เป็นการมิชอบในการที่จะอ้างว่าองค์การตั้งขึ้นไม่ชอบ ได้เงินมาไม่ชอบ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคืนเงินที่ตนรับไปในฐานตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย
(4) เมื่อองค์การสรรพาหารเป็นราชการในสังกัดสำนักคณะรัฐมนตรี โจทก์ โจทก์ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยังตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนได้ (5) ถึงแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่า จำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแต่โจทก์มิได้เรียกค่าเสียหายเนื่องจากตัวแทนทำให้เกิดขึ้นแก่ตัวการหากแต่เรียกเอาเงินที่จำเลยหักไว้เกินคืน คือ เรียกเอาทรัพย์ของตนซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเองคืน นั้น คดีมีอายุความ 10 ปี (6) ถึงแม้เอกสารที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าและการส่งสินค้าออกก็ทำในนามขององค์การสรรพาหาร โจทก์ก็ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ ไม่ใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร (7) การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ 1 บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรับขน ส่วนองค์การสรรพาหารมิใช่ผู้รับขน จะเรียกเอาค่าระวางจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ถึงแม้องค์การสรรพาหารจะเถียงว่าเป็นผู้เหมาลำเป็นเจ้าของระวางคนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมิได้มีสัญญารับขนกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทรับขนจะต้องรับผิดต่อองค์การสรรพาหารเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความอำนาจออกประกาศของสัตวแพทย์ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ ต้องเป็นหนังสือ เพื่อให้มีหลักฐานชัดเจนและเป็นธรรมต่อประชาชน
ออกประกาศหรือสั่งเป็นหนังสือ ในมาตรา 18 (1) แห่งพระราชบัญญัติ โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 คำว่า ออกประกาศ หมายความว่าออกประกาศเป็นหนังสือ หาใช่ออกประกาศด้วยวาจาก็ได้ไม่ เพราะมาตรา นี้มุ่งบังคับเอากับประชาชน ถ้าตีความว่า ออกประกาศด้วยวาจาก็ใช้ได้ ก็ย่อมปราศจากหลักฐานและเป็นช่องทางให้โต้เถียงกันได้
สัตวแพทย์ประกาศเป็นหนังสือกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราว และประกาศด้วยวาจาให้จำเลยและเจ้าของสัตว์แจ้งจำนวน โค กระบือ และให้นำโคกระบือมาให้ตรวจและฉีดยา จำเลยฝ่าฝืน ยังไม่เป็นความผิดเพราะสัตวแพทย์ ประกาศด้วยวาจามิใช่เป็นหนังสือ
สัตวแพทย์ประกาศเป็นหนังสือกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราว และประกาศด้วยวาจาให้จำเลยและเจ้าของสัตว์แจ้งจำนวน โค กระบือ และให้นำโคกระบือมาให้ตรวจและฉีดยา จำเลยฝ่าฝืน ยังไม่เป็นความผิดเพราะสัตวแพทย์ ประกาศด้วยวาจามิใช่เป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกาศข้อกำหนดทางกฎหมายต้องทำเป็นหนังสือ เพื่อให้มีหลักฐานตรวจสอบได้และเป็นธรรมต่อประชาชน
"ออกประกาศหรือสั่งเป็นหนังสือ"ในมาตรา 18(1) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499 คำว่า"ออกประกาศ"หมายความว่าออกประกาศเป็นหนังสือ หาใช่ออกประกาศด้วยวาจาก็ได้ไม่ เพราะมาตรานี้มุ่งบังคับเอากับประชาชน ถ้าตีความว่าออกประกาศด้วยวาจาก็ใช้ได้ ก็ย่อมปราศจากหลักฐานและเป็นช่องทางให้โต้เถียงกันได้
สัตวแพทย์ประกาศเป็นหนังสือกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราวและประกาศด้วยวาจาให้จำเลยและเจ้าของสัตว์แจ้งจำนวน โค กระบือ และให้นำโคกระบือมาให้ตรวจและฉีดยา จำเลยฝ่าฝืน ยังไม่เป็นความผิดเพราะสัตวแพทย์ประกาศด้วยวาจามิใช่เป็นหนังสือ
สัตวแพทย์ประกาศเป็นหนังสือกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราวและประกาศด้วยวาจาให้จำเลยและเจ้าของสัตว์แจ้งจำนวน โค กระบือ และให้นำโคกระบือมาให้ตรวจและฉีดยา จำเลยฝ่าฝืน ยังไม่เป็นความผิดเพราะสัตวแพทย์ประกาศด้วยวาจามิใช่เป็นหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญ: สิทธิของผู้เป็นหุ้นส่วนเมื่อผู้ชำระบัญชีลาออก
เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนตกลงกันตั้งบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระบัญชีไปแล้ว แต่ต่อมาบุคคลภายนอกนั้นลาออกแล้ว ทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องตกมาอยู่ในความจัดทำของผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดผู้เป็นเจ้าของตราบใดที่ผู้เป็นหุ้นส่วนยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดโดยคะแนนเสียงข้างมากให้ผู้อื่นใดจัดทำ การชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาซื้อขายเนื่องจากสินค้าไม่ตรงตามคำสั่ง แม้มีประเพณีค้าธนาคาร แต่ต้องแจ้งให้ทราบ
ประเพณีการค้าของธนาคารพานิชย์นั้น ถ้าไม่ปรากฏว่าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งได้รู้ จะนำเอาประเพณีนั้นมามัดคู่กรณีฝ่ายนั้นให้นอกเหนือไปจากข้อตกลงในสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน: ค้ำช่างทองเฉพาะความเสียหายในหน้าที่การงาน ไม่รวมเงินล่วงหน้า
ทำสัญญาค้ำประกันลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่เป็นช่างทองของโจทก์โดยยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ลูกจ้างทำขึ้นนั้น ย่อมหมายความว่าผู้ค้ำประกันยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ซึ่งเกิดจากการกระทำของลูกจ้างในหน้าที่การงานที่จ้างกันเท่านั้นหากจะให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในประการอื่นนอกจากหน้าที่การงานที่จ้างเช่นเงินล่วงหน้าที่ลูกจ้างขอรับไปนั้น ความรับผิดเช่นว่านี้ต้องกล่าวไว้ให้ชัด มิฉะนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด
ประเพณีเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบ อ้างว่าตามประเพณีช่างทองจะต้องรับเงินล่วงหน้าผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดด้วยดังนี้เมื่อโจทก์ไม่สืบผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด
ประเพณีเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบ อ้างว่าตามประเพณีช่างทองจะต้องรับเงินล่วงหน้าผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดด้วยดังนี้เมื่อโจทก์ไม่สืบผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันการทำงานช่างทอง: ความเสียหายเฉพาะหน้าที่
ทำสัญญาค้ำประกันลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่เป็นช่างทองของโจทก์โดยยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ลูกจ้างทำขึ้นนั้นย่อมหมายความว่าผู้ค้ำประกันยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ซึ่งเกิดจากการกระทำของลูกจ้างในหน้าที่การงานที่จ้างกันเท่านั้นหากจะให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในประการอื่นนอกจากหน้าที่การงานที่จ้างเช่นเงินล่วงหน้าที่ลูกจ้างขอรับไปนั้นความรับผิดเช่นว่านี้ต้องกล่าวไว้ให้ชัดมิฉะนั้นผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด
ประเพณีเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบ อ้างว่าตามประเพณีช่างทองจะต้องรับเงินล่วงหน้าผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดด้วยดังนี้เมื่อโจทก์ไม่สืบผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด
ประเพณีเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบ อ้างว่าตามประเพณีช่างทองจะต้องรับเงินล่วงหน้าผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดด้วยดังนี้เมื่อโจทก์ไม่สืบผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด