พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานละเว้นต่อหน้าที่ ลักลอบเอกสารราชการ และปลอมแปลงเอกสาร มีความผิดตามมาตรา 157
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลปกครองรักษาไว้โดยปลอดภัยซึ่งเอกสารราชการ และเอกสารสิทธิทั้งปวงอันเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของประชาชน จำเลยได้ลักลอบเอาเอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาออกจากตู้เก็บเอกสารไปบางฉบับ แล้วนำไปให้ ส. ทนายความตรวจดูนอกสถานที่ราชการ และจำเลยได้ปลอมเอกสารนั้นเช่นนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดรวมทั้งแก่ทางราชการด้วยแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย (นอกจากจะผิดตามมาตรา 158 และมาตรา 266 แล้ว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266-2278/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ, ปลอมเอกสาร, และการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
โจทก์ฟ้องจำเลย 13 สำนวน สำนวนละหลายข้อหา เมื่อข้อหาฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยสำนวนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ลงโทษจำคุกสำนวนละ 2 ปี 6 เดือน และข้อหาความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกสำนวนละ 2 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลงโทษจำคุกสำนวนละ 1 ปี นั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษของแต่ละกระทงความผิดและของแต่ละสำนวนที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
จำเลยฎีกาว่า การสอบสวนตามฟ้องจำเลยไม่ได้รับแจ้งข้อหาและปรึกษาทนายความกับจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และที่โจทก์จำเลยต่างฎีกาว่า กำหนดโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงมานั้นหนักหรือเบาเกินไป เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ใบเสร็จรับเงินซึ่งทางราชการออกให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีรถยนต์ เป็นหลักฐานแสดงว่าทางราชการได้รับชำระค่าภาษีรถยนต์ไว้แล้วและมีผลทำให้การเก็บภาษีรถยนต์ของรัฐเอ็นอันเสร็จสิ้นไป จึงเป็นเอกสารสิทธิ์อันเป็นเอกสารราชการ
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแผนกทะเบียนยานพาหนะปลอมใบเสร็จรับเงินแล้วใช้ดวงตราของเจ้าพนักงานประทับลงในใบเสร็จรับเงินนั้น ก็โดยเจตนาทำใบเสร็จรับเงินปลอมทั้งฉบับ เพื่อให้เห็นว่าเป็นใบเสร็จรับเงินที่แท้จริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามมาตรา 266 และ 253
จำเลยฎีกาว่า การสอบสวนตามฟ้องจำเลยไม่ได้รับแจ้งข้อหาและปรึกษาทนายความกับจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และที่โจทก์จำเลยต่างฎีกาว่า กำหนดโทษที่ศาลอุทธรณ์ลงมานั้นหนักหรือเบาเกินไป เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ใบเสร็จรับเงินซึ่งทางราชการออกให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีรถยนต์ เป็นหลักฐานแสดงว่าทางราชการได้รับชำระค่าภาษีรถยนต์ไว้แล้วและมีผลทำให้การเก็บภาษีรถยนต์ของรัฐเอ็นอันเสร็จสิ้นไป จึงเป็นเอกสารสิทธิ์อันเป็นเอกสารราชการ
การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแผนกทะเบียนยานพาหนะปลอมใบเสร็จรับเงินแล้วใช้ดวงตราของเจ้าพนักงานประทับลงในใบเสร็จรับเงินนั้น ก็โดยเจตนาทำใบเสร็จรับเงินปลอมทั้งฉบับ เพื่อให้เห็นว่าเป็นใบเสร็จรับเงินที่แท้จริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามมาตรา 266 และ 253
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการ-เอกสารสิทธิ รวมถึงฉ้อโกง ธนาคาร พิจารณาโทษจำเลย
การที่จำเลยร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและปลอมตั๋วแลกเงินในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2518 นั้น เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,266,91 แต่จำเลยร่วมกันนำบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วแลกเงินที่ปลอมขึ้นไปใช้ด้วย จึงต้องลงโทษแต่ละกระทงฐานใช้กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรค 2 และการใช้ในคราวเดียวกันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 342 โดยจำเลยร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน คือเงิน 220,000 บาทจากธนาคาร ย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอม อันเป็นบทหนัก ตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266,90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639-2641/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฐานใช้เอกสารปลอม – บัตรอนุญาตผ่านเข้าไม่ใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยพบกับผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสอง บอกว่าจะมาหาบัตรขึ้นเขาศูนย์จำเลยก็บอกว่า ทำให้ได้ แต่ต้องเสียเงินคนละ 400 บาท แล้วจำเลยเอารูปถ่ายของผู้เสียหายไป ต่อมาราว 30 นาที จำเลยเอาบัตรปลอมมาให้ผู้เสียหายคนละฉบับ ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเดียวกัน โดยจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้เสียหายรวม 2 คน ในคราวเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียว (ฐานใช้เอกสารปลอม)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639-2641/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฐานใช้เอกสารปลอม: การกระทำต่อผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน และบัตรอนุญาตไม่ใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยพบกับผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสองบอกว่าจะมาหาบัตรขึ้นเขาศูนย์ จำเลยก็บอกว่า ทำให้ได้ แต่ต้องเสียเงินคนละ 400 บาท แล้วจำเลยเอารูปถ่ายของผู้เสียหายไป ต่อมาราว30 นาที จำเลยเอาบัตรปลอมมาให้ผู้เสียหายคนละฉบับ ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเดียวกันโดยจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้เสียหายรวม 2 คน ในคราวเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียว (ฐานใช้เอกสารปลอม)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารไต่สวนที่ดินไม่เป็นเอกสารปลอม แม้ข้อความไม่ตรงจริง ความผิดฐานสนับสนุนยังต้องฟังข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเสมียนที่ดินอำเภอมีหน้าที่ทำการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินโดยการสมคบสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 กรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารรายการไต่สวนฯ ที่ดินของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่และอาณาเขตตามรายละเอียดในฟ้อง และจำเลยที่ 1 ทำแผนที่ปลอมในเอกสารการพิสูจน์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัด ตรวจสอบและพิสูจน์ แต่ได้กรอกข้อความดังกล่าวลงในเอกสาร เพื่อสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ลงชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าว ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้นำจำเลยที่ 1 สำรวจพิสูจน์และปักหลักเขตไว้ถูกต้องตรงตามความจริง มิได้ล้ำแนวเขตที่ดินข้างเคียงหรือที่สาธารณประโยชน์ และรับรองแผนที่ว่าถูกต้อง โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ทราบดีว่าไม่มีการรังวัด และจำเลยที่ 2 ไม่มีที่ดินดังแผนที่ และทิศข้างเคียงในใบตรวจสอบก็ไม่ตรงตามความจริง เป็นการสมคบกันปลอมเอกสาร ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะหากที่ดินของจำเลยที่ 2มีรายการดังที่จำเลยที่1 ทำปลอมขึ้นก็จะทับที่ของโจทก์ที่อยู่ข้างเคียงและต่อมาจำเลยได้บังอาจนำเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีแพ่ง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชน
ตามคำฟ้องนี้ เอกสารไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารอันแท้จริง แม้ข้อความจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้กลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161, 264, 266 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึง 7 บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากเป็นความจริงดังฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามมาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่เป็นการชอบ
ตามคำฟ้องนี้ เอกสารไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารอันแท้จริง แม้ข้อความจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้กลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161, 264, 266 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึง 7 บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากเป็นความจริงดังฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามมาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่เป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนพิสูจน์ที่ดิน - เอกสารอันแท้จริง vs. เอกสารปลอม - ความผิดฐานสนับสนุน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเสมียนที่ดินอำเภอ มีหน้าที่ทำการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินโดยการสมคบสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 กรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารรายการไต่สวนฯ ที่ดินของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่และอาณาเขตตามรายละเอียดในฟ้อง และจำเลยที่ 1 ทำแผนที่ปลอมในเอกสารการพิสูจน์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัด ตรวจสอบ และพิสูจน์ แต่ได้กรอกข้อความดังกล่าวลงในเอกสาร เพื่อสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ลงชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าว ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้นำจำเลยที่1 สำรวจพิสูจน์และปักหลักเขตไว้ถูกต้องตรงตามความจริง มิได้ล้ำแนวเขตที่ดินข้างเคียงหรือที่สาธารณประโยชน์ และรับรองแผนที่ว่าถูกต้อง โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ทราบดีว่าไม่มีการรังวัด และจำเลยที่ 2 ไม่มีที่ดินดังแผนที่ และทิศข้างเคียงในใบตรวจสอบก็ไม่ตรงตามความจริง เป็นการสมคบกันปลอมเอกสาร ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะหากที่ดินของจำเลยที่ 2 มีรายการดังที่จำเลยที่1 ทำปลอมขึ้น ก็จะทับที่ของโจทก์ที่อยู่ข้างเคียงและต่อมาจำเลยได้บังอาจนำเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีแพ่ง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชน
ตามคำฟ้องนี้ เอกสารไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารอันแท้จริง แม้ข้อความจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้กลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161,264,266 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึง 7บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ไม่ได้รังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากเป็นความจริงดังฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามมาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่เป็นการชอบ
ตามคำฟ้องนี้ เอกสารไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารอันแท้จริง แม้ข้อความจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้กลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161,264,266 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึง 7บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ไม่ได้รังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากเป็นความจริงดังฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามมาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่เป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐยักยอกเงินและการปลอมเอกสารสิทธิ: การปรับบทความผิดให้ถูกต้อง
จำเลยเป็นพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอันเป็นองค์การของรัฐ ใช้อำนาจในหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยรับไว้โดยทุจริต ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 เพียงมาตราเดียว ไม่ผิดตามมาตรา 8ด้วย เพราะเป็นการเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์ มิใช่อาศัยหน้าที่หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเบียดบังเอาทรัพย์ และกรณีดังกล่าวไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิ แต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิ แต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐยักยอกเงินและปลอมเอกสารสิทธิ การปรับบทความผิดให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยเป็นพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอันเป็นองค์การของรัฐ ใช้อำนาจในหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยรับไว้โดยทุจริต ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 เพียงมาตราเดียวไม่ผิดตามมาตรา 8 ด้วย เพราะเป็นการเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์ มิใช่อาศัยหน้าที่หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเบียดบังเอาทรัพย์ และกรณีดังกล่าวไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้น เพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิแต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้น เพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิแต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญา ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันกระทำผิด โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอใบสุทธิโดยไม่มีหลักฐานการสอบไล่ได้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูใหญ่กรอกข้อความอันเป็นเท็จรับรองในแบบสอบสวนขอรับใบสุทธิหรือใบแทนเกิน 10 ปี เสนอขออนุญาตออกให้ตามคำขอ เป็นเหตุให้นายอำเภอและเจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการอำเภอหลงเชื่อ อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ออกใบสุทธิซึ่งเป็นเอกสารปลอมให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 นำไปเป็นหลักฐานสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อคณะกรรมการรับสมัครคณะกรรมการรับใบสมัครของจำเลยที่ 1 ไว้และเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ได้รับเลือก โจทก์ในฐานะผู้สมัครรับเลือกด้วยได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรง การที่โจทก์ไม่ได้รับเลือก หาใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะนำคดีมาฟ้องได้