พบผลลัพธ์ทั้งหมด 527 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาเช่า: การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การเช่าและการคุ้มครองตามกฎหมายควบคุมการเช่า
หนังสือสัญญาเช่าระบุไว้ว่าจำเลยเช่าเพื่อทำการค้า จำเลย ย่อมต่อสู้และนำสืบได้ว่าจำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัย
โจทก์มิได้กล่าวหาเลยว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าสองคราวติดๆกันอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มาตรา 17(1) การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
การที่ผู้เช่าจะชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าหรือไม่นั้น ไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์มิได้กล่าวหาเลยว่า จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าสองคราวติดๆกันอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มาตรา 17(1) การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก
การที่ผู้เช่าจะชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าหรือไม่นั้น ไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิในที่ดินของผู้อื่นเพื่อประกอบการค้าโดยไม่มีหลักฐานการเช่า สิทธิในการอยู่อาศัยสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าของที่ดินบอกเลิก
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทและเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ส่วนบริวารจำเลยนอกจากจะเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ยังตั้งโรงทำไอสครีม และโรงทำเต้าหู้ขาย จึงเป็นการใช้ที่พิพาทเพื่อประกอบการค้า หากจะฟังว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทด้วยการเช่า จำเลยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
การเช่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงว่ายอมให้เช่า เมื่อไม่มีก็ต้องฟังตามโจทก์ว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ซึ่งมิใช่สิทธิในการเช่า เมื่อโจทก์บอกเลิกการอาศัยแล้วจำเลก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทได้ต่อไป
การเช่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงว่ายอมให้เช่า เมื่อไม่มีก็ต้องฟังตามโจทก์ว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ซึ่งมิใช่สิทธิในการเช่า เมื่อโจทก์บอกเลิกการอาศัยแล้วจำเลก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ที่ดินเพื่อประกอบการค้าโดยไม่มีหลักฐานการเช่า ไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทและเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ส่วนบริวารจำเลยนอกจากจะเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ ยังตั้งโรงทำไอสครีมและโรงทำเต้าหู้ขาย จึงเป็นการใช้ที่พิพาทเพื่อประกอบการค้า หากจะฟังว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทด้วยการเช่า จำเลยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
การเช่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงว่ายอมให้เช่า เมื่อไม่มีก็ต้องฟังตามโจทก์ว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ซึ่งมิใช่สิทธิในการเช่า เมื่อโจทก์บอกเลิกการอาศัยแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทได้ต่อไป
การเช่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงว่ายอมให้เช่า เมื่อไม่มีก็ต้องฟังตามโจทก์ว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ซึ่งมิใช่สิทธิในการเช่า เมื่อโจทก์บอกเลิกการอาศัยแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่: ประเด็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 224 และการพิจารณาเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า และจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่: การระบุสภาพแห่งข้อหาในฟ้องเพียงพอแล้ว ศาลไม่รับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์เรื่องเคหะ
โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้า เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้าและจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ข้อนี้ก็เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง เป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมาวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทะรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ข้อนี้ก็เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง เป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมาวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทะรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495-500/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีเช่า เคหะควบคุม การวินิจฉัยเจตนาเช่าเป็นข้อเท็จจริง
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากห้องเช่าอันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง นั้น เมื่อคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่ศาลชั้นต้นสั่งรับโดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยให้ ดังนี้ เมื่อคู่ความนั้นฎีกาต่อมาอีกศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่าช่วงเมื่อสัญญาเช่าที่ดินสิ้นสุด: ผู้เช่าช่วงไม่มีสิทธิอ้างกฎหมายคุ้มครองค่าเช่ากับผู้ให้เช่าเดิม
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอาคาร เมื่อครบกำหนดต้องรื้อไป ผู้เช่าอาคาร(ห้องแถว) ของจำเลยไม่ได้เช่าที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยเท่านั้นและตกอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯและพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ยันโจทก์ไม่ได้
กรณีสัญญาเช่าที่ดินครบกำหนดกับกรณีที่เลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนด เป็นเรื่องทำนองเดียวกันคือผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินที่ให้เช่าคืน (อ้างฎีกาที่337/2500)
กรณีสัญญาเช่าที่ดินครบกำหนดกับกรณีที่เลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนด เป็นเรื่องทำนองเดียวกันคือผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินที่ให้เช่าคืน (อ้างฎีกาที่337/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่าช่วงที่อาศัยสิทธิจากผู้เช่าเดิมเมื่อสัญญาเช่าที่ดินสิ้นสุด ผู้เช่าช่วงไม่อาจอ้างสิทธิคุ้มครองตามกฎหมายได้
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอาคาร เมื่อครบกำหนดต้องรื้อไป ผู้เช่าอาคาร(ห้องแถว)ของจำเลยไม่ได้เช่าที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยเท่านั้น และตกอยู่ในฐานะบริวารของจำเลย จะอ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ และพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ ยันโจทก์ไม่ได้
กรณีสัญญาเช่าที่ดินครบกำหนดกับกรณีที่เลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนด เป้นเ รื่องทำนองเดียวกัน คือ ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินที่ให้เช่าคืน (อ้างฎีกาที่ 337/2500)
กรณีสัญญาเช่าที่ดินครบกำหนดกับกรณีที่เลิกสัญญาเช่าก่อนครบกำหนด เป้นเ รื่องทำนองเดียวกัน คือ ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินที่ให้เช่าคืน (อ้างฎีกาที่ 337/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าเดิมยังผูกพันผู้รับโอน และได้รับความคุ้มครองตาม พรบ.ควบคุมค่าเช่า
ที่พิพาทเป็นของเจ้าของรวม 2 คน จำเลยเช่าจากเจ้าของรวมคนหนึ่ง แม้ที่พิพาทจะเปลี่ยนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งแต่ผู้เดียวภายหลังก็ตาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 สัญญาเช่าก็หาได้ระงับไปไม่ โจทก์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่เจ้าของรวมคนนั้นมีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญา ทั้งเมื่อโจทก์ไม่ได้ตั้งประเด็นนำสืบให้ปรากฎว่า โจทก์ไม่ต้องผูกพันตามสัญญาเช่านั้นอย่างใด เช่นนี้แล้ว เมื่อสัญญาเช่ายังไม่ระงับและเป็นการเช่าที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ โจทก์ก็ไม่สิทธิฟ้องขับไล่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่สืบต่อแม้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของกรรมสิทธิ์ และการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
ที่พิพาทเป็นของเจ้าของรวม 2 คน จำเลยเช่าจากเจ้าของรวมคนหนึ่งแม้ที่พิพาทจะเปลี่ยนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งแต่ผู้เดียวภายหลังก็ตามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 สัญญาเช่าก็หาได้ระงับไปไม่ โจทก์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่เจ้าของรวมคนนั้นมีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญา ทั้งเมื่อโจทก์ไม่ได้ตั้งประเด็นนำสืบให้ปรากฏว่า โจทก์ไม่ต้องผูกพันตามสัญญาเช่านั้นอย่างใด เช่นนี้แล้ว เมื่อสัญญาเช่ายังไม่ระงับและเป็นการเช่าที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าโจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่