พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1273/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับเช็คที่ไม่ใช่ผู้โอนสิทธิยังคงเป็นผู้เสียหายจากการปฏิเสธการจ่ายเช็ค
จำเลยออกเช็คขีดคร่อมให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แต่โจทก์ไม่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารจึงฝากเช็คดังกล่าวให้ อ.นำเข้าบัญชีเงินฝากของ อ.ที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินดังนี้ อ. เป็นเพียงผู้จัดการรับเงินตามเช็คแทนโจทก์ มิได้รับโอนเช็คไปจากโจทก์เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายศาลย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งหรือพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายศาลย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งหรือพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แม้ศาลล่างไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาพิจารณาและแก้ไขคำพิพากษาได้
จำเลยกับพวกรวม 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่ และใช้กำลังกอดคอบังคับให้ผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนสำเร็จความใคร่ ย่อมมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้รับรองว่าการกระทำเข้าข่ายโทรมหญิง
จำเลยกับพวกรวม 2 คน ใช้อาวุธปืนขู่ และใช้กำลังกอดคอบังคับให้ผู้เสียหายเข้าป่าข้างทาง แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผลัดเปลี่ยนกันจนสำเร็จความใคร่ ย่อมมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยไม่วินิจฉัยว่า การกระทำมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องพิพากษาแก้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: พยานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย จึงยกฟ้อง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร ชั้นพิจารณาปรากฏว่าจำเลยถูกฟ้องว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรอีก 2 สำนวน ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาพิพากษารวมกันเป็น 3 สำนวน ให้ยกฟ้องทั้ง 3 สำนวน โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลงโทษเฉพาะคดีนี้ จำเลยฎีกาคดีนี้ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ ส่วนอีก 2 สำนวนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์นั้นคดีที่สุดแล้ว หากศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้พยานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิด คดีนี้ศาลฎีกาก็พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: พยานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรชั้นพิจารณาปรากฏว่าจำเลยถูกฟ้องว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรอีก 2 สำนวนศาลชั้นต้นจึงพิจารณาพิพากษารวมกันเป็น 3 สำนวน ให้ยกฟ้องทั้ง 3 สำนวน โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลงโทษเฉพาะคดีนี้จำเลยฎีกาคดีนี้ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษส่วนอีก 2 สำนวนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์นั้น คดีถึงที่สุดแล้วหากศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้พยานโจทก์ยังไม่พอฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดคดีนี้ศาลฎีกาก็พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประทับฟ้องและการไม่โต้แย้งคดีอาญา ทำให้ไม่สามารถลงโทษฐานลักทรัพย์ได้ แม้มีฟ้อง
ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง โดยตั้งข้อหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับในข้อหารับของโจร ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล ประทับฟ้องฐานรับของโจร ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่ประทับฟ้อง โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์ก็แถลงไม่สืบพยาน ดังนี้คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีการับฟ้องฐานลักทรัพย์อีกด้วย ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 214,15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) ต้องยกฎีกาโจทก์เสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประทับฟ้องและการสืบพยานจำกัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องคดีอาญาซ้ำ
ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงโดยตั้งข้อหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับในข้อหารับของโจร ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล ประทับฟ้องฐานรับของโจร ส่วนข้อหาฐานลักทรัพย์ไม่ประทับฟ้อง โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านประการใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร โจทก์ก็แถลงไม่สืบพยาน ดังนี้คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้อีก โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีการับฟ้องฐานลักทรัพย์อีกด้วย ข้อฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 214, 15 และ ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) ต้องยกฎีกาโจทก์เสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้างมลทินและผลกระทบต่อการเพิ่มโทษจำคุก คดีที่พิพากษาหลังพ.ร.บ.ล้างมลทินฯ ใช้บังคับ
ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษก่อน 8 พ.ย.2499 และพ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินในโอกาศครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2499 ใช้บังคับ (13 พ.ค.2500) ดังนี้ ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดในคดีนั้น คดีมีฎีกาและศาลฎีกาพิพากษาหลังวันที่ 13 พ.ค.2500 ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างว่า จะเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบหลังพ.ร.บ.ล้างมลทิน: ศาลฎีกาแก้โทษจำคุกเหลือตามเดิม
ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษก่อน 8 พ.ย. 2499 และพ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ.ล้างมลทินในโอกาศครบ25พุทธศตวรรษ พ.ศ.2499 ใช้บังคับ (13 พ.ค. 2500) ดังนี้ ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดในคดีนั้นคดีมีฎีกาและศาลฎีกาพิพากษาหลังวันที่ 13 พ.ค.2500ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลล่างว่าจะเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทมาตราความผิดและกระทงโทษในคดีอาญา, จำเลยฎีกาขอลดหย่อนโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา250 ข้อ2,3 มาตรา 184 และ มาตรา 120 รวม 3 กระทงเมื่อลดโทษตาม มาตรา 59 แล้วคงรวมกระทงลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ตาม มาตรา 36
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 250 ข้อ 2 ไม่ใช่ข้อ 3 และที่ว่ารวมกระทงลงโทษตาม มาตรา 36 ก็ไม่ถูกต้องเป็น มาตรา 71 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากที่แก้คงยืนดังนี้ จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 250 ข้อ 2 ไม่ใช่ข้อ 3 และที่ว่ารวมกระทงลงโทษตาม มาตรา 36 ก็ไม่ถูกต้องเป็น มาตรา 71 จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามบทมาตราดังกล่าวนอกจากที่แก้คงยืนดังนี้ จำเลยฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้