คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไชยเจริญ สันติศิริ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 553 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานโดยชอบด้วยกฎหมาย: ความรับผิดชอบในการเดินทางของพยาน
ในคดีอาญาศาลคดีเด็ก ศาลเลื่อนการพิจารณาหลายครั้งเพราะพยานโจทก์บางคนไม่มาศาล ศาลออกหมายจับพยานมา พยานอ้างว่า เพราะไม่มีค่าพาหนะเดินทาง ศาลสอบถามว่าจะมาศาลในนัดหน้าได้หรือไม่ พยานรับว่าจะเดินทางมาเอง ครั้นถึงวันนัด พยานไม่มาศาล ทั้งไม่ได้ขอความช่วยเหลือ ค่าพาหนะอย่างใด ดังนี้ จึงหาใช่ความผิดของโจทก์ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์หาชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าและการโอนสิทธิสัญญาเช่า: สัญญาเช่าเดิมไม่ผูกพันผู้เช่ารายใหม่ที่ได้รับสิทธิจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
โจทก์ให้บุคคลที่ 3 เช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารให้เช่าช่วง มีกำหนด 10 ปี โดยมีข้อสัญญาว่า เมื่อครบ 10 ปีแล้ว อาคารตกเป็นของโจทก์ โดยบุคคลที่ 3 ผู้เช่าที่ดินจะไม่กระทำให้อาคารที่ปลูกสร้างนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไป เมื่อครบ 10 ปี ปรากฏว่า จำเลยเช่าอาคารนี้จากบุคคลที่ 3 นั้นเพื่ออยู่อาศัยมา 7 ปีแล้ว ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ดังนี้ โจทก์จะอาศัยสัญญาที่โจทก์ทำกับบุคคลที่ 3 ในข้อที่ว่าเมื่อครบ 10 ปี บุคคลที่ 3 จะไม่กระทำให้อาคารนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไปมาขับไล่จำเลยหาได้ไม่ เพราะโจทก์ผู้รับโอนอาคารพิพาทจากบุคคลที่ 3 ย่อมรับไป ทั้งสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่ 3 ซึ่งมีต่อจำเลยนั้นด้วย สัญญาที่โจทก์ทำไว้กับบุคคลที่ 3 นั้น ไม่ผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคนนอกสัญญากล่าวในแง่การเช่า จำเลยเช่าจากบุคคลภายนอกโดยบุคคลภายนอกได้รับสิทธิให้เช่ามาจากโจทก์ แต่เมื่อจำเลยเช่าแล้ว จำเลยได้รับสิทธิเพิ่มเติมโดยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเช่าและสิทธิของผู้เช่าตามพรบ.ควบคุมค่าเช่า สัญญาเช่าเดิมไม่ผูกพันผู้เช่ารายใหม่
โจทก์ให้บุคคลที่ 3 เช่าที่ดินปลูกสร้างอาคารให้เช่าช่วง มีกำหนด 10 ปี โดยมีข้อสัญญาว่า เมื่อครบ10 ปีแล้ว อาคารตกเป็นของโจทก์ โดยบุคคลที่ 3 ผู้เช่าที่ดินจะไม่กระทำให้อาคารที่ปลูกสร้างนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไป เมื่อครบ 10 ปี ปรากฏว่าจำเลยเช่าอาคารนี้จากบุคคลที่ 3 นั้นเพื่ออยู่อาศัยมา 7 ปีแล้ว ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ดังนี้โจทก์จะอาศัยสัญญาที่โจทก์ทำกับบุคคลที่ 3 ในข้อที่ว่าเมื่อครบ 10 ปี บุคคลที่ 3 จะไม่กระทำให้อาคารนี้มีภาระผูกพันกับบุคคลอื่นต่อไปมาฟ้องขับไล่จำเลยหาได้ไม่ เพราะโจทก์ผู้รับโอนอาคารพิพาทจากบุคคลที่ 3 ย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่ 3 ซึ่งมีต่อจำเลยนั้นด้วย สัญญาที่โจทก์ทำไว้กับบุคคลที่ 3 นั้น ไม่ผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคนนอกสัญญากล่าวในแง่การเช่า จำเลยเช่าจากบุคคลภายนอกโดยบุคคลภายนอกได้รับสิทธิให้เช่ามาจากโจทก์ แต่เมื่อจำเลยเช่าแล้วจำเลยได้รับสิทธิเพิ่มเติมโดยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีและการยกข้อกฎหมายที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในชั้นศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ ในชั้นศาลชั้นต้น จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่ได้กู้ โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง มิได้ต่อสู้ไว้เลยว่าสัญญากู้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ และเพิ่งจะมายกขึ้นเป็นข้อฎีกาเท่านั้นไม่รับพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 939/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีโดยจำเลยที่ยกเหตุผลเรื่องเอกสารไม่สมบูรณ์ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ในชั้นศาลชั้นต้น จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่ได้กู้ โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง มิได้ต่อสู้ไว้เลยว่าสัญญากู้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ และเพิ่งจะมายกขึ้นเป็นข้อฎีกาเท่านั้น ไม่รับพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มาตรา 281 ไม่ใช่บทลงโทษ, การใช้ดุลยพินิจศาลในการลดโทษ, การจำกัดสิทธิฎีกา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ เป็นแต่บัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 276 และ 278 นั้น ถ้ามิได้ทำต่อหน้าธารกำนัลไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและเป็นการโทรมหญิง เป็นความผิดอันยอมความกันได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นผิดและกำหนดโทษไว้ อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตาม มาตรา 276, 281, 310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276, 310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง ลงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลยพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บทบัญญัติมาตรา 281 ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นข้อยกเว้นความผิดและข้อจำกัดการฟ้องร้อง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้เป็นแต่บัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 276 และ 278 นั้น ถ้ามิได้ทำต่อหน้าธารกำนัลไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและเป็นการโทรมหญิง เป็นความผิดอันยอมความกันได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นผิดและกำหนดโทษไว้อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276,281,310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา276,310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ในการขอแบ่งสินบริคณห์ แม้เคยขอเฉลี่ยทรัพย์แล้ว ไม่ตัดสิทธิในการขอแบ่งสินบริคณห์เพิ่มเติม
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินบริคณห์ ขอให้แยกสินบริคณห์ซึ่งถูกศาลยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดแยกเป็นส่วนของสามี ดังนี้ ไม่ใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง มาตรา 288 หากแต่เป็นการขอแบ่งแยกสิบริคณห์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2503)
การขอเฉลี่ยทรัพย์ คือการขอให้ได้รับชำระหนี้ โดยส่วนเฉลี่ยกับเจ้าหนี้ผู้ทำการยึดทรัพย์จากทรัพย์ของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ยึดไว้ ส่วนการขอแบ่งแยกสินบริคณห์ คือ การขอเอาส่วนอันเป็นส่วนของลูกหนี้ผู้ร้องออกมา
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอเฉลี่ยและได้เฉลี่ยว่า เป็นสินบริคณห์ก็มิได้ทำให้สิทธิของเจ้าหนี้ในการที่จะขอแบ่งสินบริคณห์มาชำระหนี้หายไป เจ้าหนี้ย่อมที่จะยื่นคำร้องขอแบ่งสินบริคณห์ของลูกหนี้ได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอแบ่งสินบริคณห์ แม้ได้มีการเฉลี่ยทรัพย์แล้ว เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิขอแบ่งสินบริคณห์เพื่อชำระหนี้ได้
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินบริคณห์ขอให้แยกสินบริคณห์ซึ่งถูกศาลยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดแยกเป็นส่วนของสามี ดังนี้ ไม่ใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 หากแต่เป็นการขอแบ่งแยกสินบริคณห์ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2503)
การขอเฉลี่ยทรัพย์ คือ การขอให้ได้รับชำระหนี้โดยส่วนเฉลี่ยกับเจ้าหนี้ผู้ทำการยึดทรัพย์จากทรัพย์ของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ยึดไว้ ส่วนการขอแบ่งแยกสินบริคณห์คือ การขอเอาส่วนอันเป็นส่วนของลูกหนี้ผู้ร้องออกมา
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขอเฉลี่ยและได้เฉลี่ยแล้ว แม้เจ้าหนี้นั้นจะไม่ได้กล่าวไว้ในชั้นขอเฉลี่ยว่า เป็นสินบริคณห์ ก็มิได้ทำให้สิทธิของเจ้าหนี้ในการที่จะขอแบ่งสินบริคณห์มาชำระหนี้หายไป เจ้าหนี้ย่อมที่จะยื่นคำร้องขอแบ่งสินบริคณห์ของลูกหนี้ได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งทนายความต้องใช้ลายมือชื่อจริงในเอกสาร การปิดลายเซ็นที่ตัดต่อมาไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
การที่จะแต่งตั้งทนายความนั้นผู้ที่จะแต่งตั้งจะต้องเซ็นชื่อของตนเองไว้ในช่องผู้แต่งตั้งทนายความด้วยตนเอง (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61,67) การแต่งตั้งทนายความนั้นจึงจะสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย การที่ตัดเอาลายเซ็นชื่อของผู้แต่งตั้งทนายความจากที่อื่นมาปิดลงไว้ในช่องผู้แต่งตั้งทนายความ จึงมีผลเท่ากับผู้แต่งตั้งทนายความมิได้เซ็นชื่อในใบแต่งทนาย แม้ผู้แต่งตั้งทนายความจะรับรองหรือให้สัตยาบัน ก็ไม่ทำให้มีลายมือชื่อของผู้แต่งตั้งทนายความในใบแต่งทนายโดยถูกต้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 ขึ้นได้
of 56