คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ม. 26

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนิคมสร้างตนเองที่เป็นโมฆะ และการขาดสภาพการเป็นสมาชิกนิคม
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐที่นิคมสร้างตนเองคำสร้อยมีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้สมาชิกของนิคมเท่านั้นเข้าทำประโยชน์ หากสมาชิกของนิคมได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้วและได้เป็นสมาชิกมาเป็นเวลาห้าปี นิคมสร้างตนเองคำสร้อยจึงสามารถออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ให้แก่ผู้นั้นได้ ซึ่งสมาชิกนิคมสามารถนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม ป.ที่ดินได้ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 6, 8 และ 11 เมื่อที่ดินพิพาทยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน นิคมสร้างตนเองคำสร้อยเพียงแต่อนุญาตจัดสรรให้จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกเข้าครอบครองทำประโยชน์ ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 21 และมาตรา 24 สิทธิของผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าครอบครอง จึงมิใช่สิทธิตาม ป.ที่ดินหรือตาม ป.พ.พ. แต่เป็นสิทธิตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ที่รัฐจัดสรรให้แก่สมาชิกของนิคมสร้างตนเองคำสร้อย โดยมีเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ดังกล่าว และสมาชิกของนิคมสร้างตนเองที่ได้รับมอบที่ดินแล้ว ต้องจัดที่ดินให้เกิดประโยชน์ให้แล้วเสร็จภายในห้าปีนับแต่วันที่อพยพครอบครัวเข้าอยู่ประจำ โดยมาตรา 27 สมาชิกต้องไม่มอบหรือโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่ได้รับมอบให้แก่ผู้อื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์หรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย นอกจากนี้มาตรา 15 ยังห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาประโยชน์ ยึดถือ หรือครอบครองที่ดินภายในนิคมเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี แสดงว่า ที่ดินของนิคมสร้างตนเองจะโอนไปยังบุคคลภายนอกได้จะต้องเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแล้วเท่านั้น และจะต้องพ้นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินก่อน ดังนี้ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเองคำสร้อยที่ยังไม่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้สมาชิกของนิคมโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินไปยังบุคคลอื่น การที่จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้บิดาโจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 27 (6) อย่างชัดแจ้ง สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับบิดาโจทก์ จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิตามสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวเข้ายึดถือครอบครอง เข้าทำประโยชน์ในที่ดินได้ และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน
พฤติการณ์ที่จำเลยขายสิทธิและส่งมอบที่ดินให้บิดาโจทก์เข้าทำประโยชน์ โดยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดยโสธรตั้งแต่ปี 2530 เพิ่งย้ายกลับมาอยู่จังหวัดมุกดาหารปี 2548 ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิและเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 26 และมาตรา 27 (6) ทั้งยังเป็นการไปจากนิคมสร้างตนเองคำสร้อยเกินหกเดือนโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนที่จะได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดิน จำเลยจึงเป็นอันขาดจากการเป็นสมาชิกของนิคมสร้างตนเองคำสร้อยและหมดสิทธิในที่ดินพิพาทและจะเรียกร้องค่าทดแทนอย่างใดมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10759/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินจากการจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข พ.ร.บ.จัดที่ดินฯ และการได้มาซึ่งโฉนด
การที่ ซ. และครอบครัวเข้ามาทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเพราะกรมประชาสงเคราะห์ จัดสรรที่ดินของรัฐให้ราษฎรเข้ามาทำกิน แต่ ซ. จะได้สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินนั้น จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่ พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 11, 22 และ 26 กำหนดไว้อีกหลายประการ ทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฏว่า ซ. ได้สมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองโพนพิสัยและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วหรือไม่ อีกทั้ง ซ. กับ จ. ไม่ได้ยื่นคำร้องขอออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. 3) ไว้ก่อน เจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัยจึงไม่ได้มาตรวจสอบว่าเข้าทำประโยชน์อยู่จริงหรือไม่ แม้โจทก์ทั้งสองจะอ้างใบเสร็จการเสียภาษีบำรุงท้องที่ของ ซ. กับ จ. เป็นพยานก็ไม่ใช่หลักฐานที่ยืนยันว่าผู้ชำระเงินได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอย่างแท้จริง เมื่อกรมประชาสงเคราะห์ยังไม่ได้ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. 3) ให้ ซ. หรือ จ. ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นที่ดินของรัฐซึ่งรัฐสามารถนำมาจัดสรรใหม่ได้ แต่นิคมสร้างตนเองโพนพิสัยให้โอกาสจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทและครอบครองทำประโยชน์อยู่ในเวลานั้นเพียงรายเดียว อีกทั้งมีคุณสมบัติครบถ้วนสมัครเข้าเป็นสมาชิกก่อนรายอื่น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 สมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองโพนพิสัยและยังครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ก็เพื่อให้รัฐออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. 3) ให้ตนเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว ไม่ใช่สวมสิทธิการทำกินของบิดามารดาแต่อย่างใด เมื่อกรมประชาสงเคราะห์ออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค. 3) เลขที่ 836 ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธินำหนังสือดังกล่าวไปขอออกโฉนดตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 3493 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย (บึงกาฬ) เป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ทรัพย์มรดกตกทอดของ ซ. และ จ. จำเลยที่ 1 เจ้าของที่ดินจึงขอแบ่งแยกและโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้