พบผลลัพธ์ทั้งหมด 88 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในสังกัด และสิทธิไล่เบี้ยของนิติบุคคล
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอก ร. เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์ เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอก ร. ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอก ร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอก ร. เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอก ร. เสียหาย และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอก ร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอก ร. ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอก ร. แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9322/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ผู้บุกรุก - การงดสืบพยานเมื่อจำเลยไม่มีประเด็น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่ตามสำเนาโฉนดท้ายฟ้อง จำเลยให้การเพียงว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของ ข. โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยอาศัยบ้าน ข.อยู่ ไม่ปรากฏเหตุแห่งการปฏิเสธว่าที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องอย่างไร หรือ ข.เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้อย่างไร จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า โจทก์อ้างส่งโฉนดที่ดินพิพาทและสัญญาให้ที่ดินพิพาทต่อศาล ซึ่งจำเลยไม่คัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยเพียงแต่ขอสืบพยานบุคคลตามคำให้การดังกล่าวเท่านั้น ดังนี้ เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ และเอกสารของโจทก์ดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์และสามีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีความจำเป็นที่จะสืบพยานต่อไป จึงชอบที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยได้
จำเลยครอบครองบ้านพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยบุคคลอื่นอยู่ ข้ออ้างดังกล่าวย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะอยู่ต่อไป โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปได้
จำเลยครอบครองบ้านพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยบุคคลอื่นอยู่ ข้ออ้างดังกล่าวย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะอยู่ต่อไป โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9322/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้ผู้บุกรุกอ้างอาศัยบุคคลอื่น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์อยู่ตามสำเนาโฉนดท้ายฟ้องจำเลยให้การเพียงว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของ ข.โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยอาศัยบ้านข.อยู่ไม่ปรากฏเหตุแห่งการปฏิเสธว่าที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องอย่างไร หรือ ข.เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้อย่างไร จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า โจทก์อ้างส่งโฉนดที่ดินพิพาทและสัญญาให้ที่ดินพิพาทต่อศาล ซึ่งจำเลยไม่คัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยเพียงแต่ขอสืบพยานบุคคลตามคำให้การดังกล่าวเท่านั้น ดังนี้เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ และเอกสารของโจทก์ดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์และสามีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชัดแจ้งแล้วกรณีไม่มีความจำเป็นที่จะสืบพยานต่อไป จึงชอบที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยได้ จำเลยครอบครองบ้านพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยบุคคลอื่นอยู่ข้ออ้างดังกล่าวย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะอยู่ต่อไปโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่ให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8277/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเกินอายุความและการขัดแย้งคำให้การ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นนั้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันที่ถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375นั้น เมื่อประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การไว้ อีกทั้งยังขัดกับคำให้การของจำเลยที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8247/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทเรื่องครอบครองที่ดินสำคัญกว่าสัญญาซื้อขายที่ไม่เป็นหนังสือ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องโมฆะ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากล. สามีจำเลยโดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งนี้เพราะโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า20ปีแล้วขอให้จำเลยไปจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากล. จำเลยล. สามีจำเลยและบ. บุตรจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาขอให้ศาลยกฟ้องดังนี้จะเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยยกประเด็นเรื่องการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้เป็นสาระสำคัญส่วนเรื่องสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นโจทก์กล่าวอ้างเพียงให้เห็นว่าล. สามีจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองเท่านั้นประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดังนั้นที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะการซื้อขายเท่านั้นศาลอุทธรณ์ยกเรื่องสิทธิครอบครองขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบนั้นในครั้งแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าวโจทก์จำเลยต่างไม่ฎีกาปัญหาว่าคดีมีประเด็นว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยจะยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาในชั้นนี้อีกหาได้ไม่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8247/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทประเด็นสำคัญกว่าสัญญาซื้อขายที่ไม่ได้ทำตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จาก ล.สามีจำเลย โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้เพราะโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเกินกว่า20 ปี แล้ว ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก ล. จำเลย ล.สามีจำเลย และ บ.บุตรจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ขอให้ศาลยกฟ้อง ดังนี้ จะเห็นได้ว่าโจทก์จำเลยยกประเด็นเรื่องการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้เป็นสาระสำคัญ ส่วนเรื่องสัญญาซื้อขายที่ดินนั้น โจทก์กล่าวอ้างเพียงให้เห็นว่า ล.สามีจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองเท่านั้น ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะการซื้อขายเท่านั้นศาลอุทธรณ์ยกเรื่องสิทธิครอบครองขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบนั้น ในครั้งแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วย และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าว โจทก์จำเลยต่างไม่ฎีกา ปัญหาว่าคดีมีประเด็นว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยจะยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาในชั้นนี้อีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะการซื้อขายเท่านั้นศาลอุทธรณ์ยกเรื่องสิทธิครอบครองขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบนั้น ในครั้งแรกศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วย และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในปัญหาดังกล่าว โจทก์จำเลยต่างไม่ฎีกา ปัญหาว่าคดีมีประเด็นว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จำเลยจะยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาในชั้นนี้อีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7879/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้ากันรังวัดที่ดิน ผลการรังวัดผูกพันคู่ความ หากไม่โต้แย้งในชั้นต้นฎีกาใหม่ข้อเท็จจริงเดิมต้องห้าม
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีกเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่มมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฎว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้วแม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดแต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7879/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้ากันรังวัดที่ดินเป็นข้อวินิจฉัย ศาลใช้ผลรังวัดได้ แม้ไม่เสนอความเห็น
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานต่อไปอีก เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินทำแผนที่พิพาทเสร็จ ศาลได้ให้คู่ความตรวจดูแผนที่ คู่ความแถลงว่าเจ้าพนักงานจัดทำขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว การที่จำเลยเพิ่งมาอ้างในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่แจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตโดยจำเลยไม่เคยคัดค้านต่อศาลชั้นต้นตามข้ออ้างดังกล่าว และอ้างว่าได้ยื่นคำร้องสำรวจแนวเขตใหม่ต่อเจ้าพนักงานที่ดินผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว แม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด แต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า
เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทขึ้นตรงตามคำท้าแล้ว แม้เจ้าพนักงานที่ดินไม่ขอแถลงว่า ที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด แต่ในการท้ากันคู่ความก็มิได้ตกลงกันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินเสนอความเห็นด้วย ศาลจึงใช้แผนที่พิพาทในการวินิจฉัยปัญหาตามที่คู่ความท้ากันได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6614/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยเช็คต้องเรียกเก็บเงินได้ การนำสืบการชำระหนี้ต้องมีหลักฐานตามกฎหมาย
การชำระหนี้ด้วยเช็คนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคท้าย เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้หนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คจึงยังไม่ระงับ การที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่าได้มีการชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือได้เวนคืนเอกสารแห่งการกู้หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง
จำเลยมิได้ให้การไว้ว่า โจทก์ได้หักเงินจำนวน 48,000 บาทจากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลย จำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้
จำเลยมิได้ให้การไว้ว่า โจทก์ได้หักเงินจำนวน 48,000 บาทจากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลย จำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6614/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยเช็คต้องเรียกเก็บเงินได้ การนำสืบการชำระหนี้ต้องมีหลักฐานสนับสนุน และการหักหนี้ต้องเป็นไปตามที่ให้การไว้
การชำระหนี้ด้วยเช็คนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา321วรรคท้ายเมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้หนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คจึงยังไม่ระงับการที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่าได้มีการชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือได้เวนคืนเอกสารแห่งการกู้หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653วรรคสอง จำเลยมิได้ให้การไว้ว่าโจทก์ได้หักเงินจำนวน48,000บาทจากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลยจำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้