พบผลลัพธ์ทั้งหมด 114 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอม: ไม่ขยายผลถึงบริวารจำเลย เว้นแต่คดีขับไล่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำรถวิ่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้กระทำเช่นนั้น ซึ่งต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยและบริวารจะไม่กระทำการดังกล่าว หากฝ่าฝืนจำเลยยอมชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ดังนี้ มิใช่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ประเภทฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) อันจะใช้บังคับตลอดถึงบริวารของจำเลยด้วย คำพิพากษาตามยอมคดีนี้จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามมาตรา 145 เท่านั้น หามีผลบังคับถึงบริวารจำเลยไม่ แม้ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ไม่อาจบังคับคดีเอากับผู้ร้องได้ จึงไม่อาจกักขังผู้ร้องไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของคำพิพากษาตามยอมต่อบริวารจำเลย: สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความเท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำรถวิ่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้กระทำเช่นนั้น ซึ่งต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยและบริวารจะไม่กระทำการดังกล่าว หากฝ่าฝืนจำเลยยอมชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ดังนี้ มิใช่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ประเภทฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (1) อันจะใช้บังคับจลอดถึงบริวารจองจำเลยด้วย คำพิพากษาตามยอมคดีนี้จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามมาตรา 145 เท่านั้น หามีผลบังคับถึงบริวารจำเลยไม่ แม้ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยปฏิบัติฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่อาจบังคับคดีเอากับผู้ร้องได้ จึงไม่อาจกักขังผู้ร้องไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงใหม่หลังสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ถือเป็นการขยายเวลาไถ่ทรัพย์สินตามกฎหมาย
การตกลงกันกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สินกันใหม่โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเลิกคดีที่พิพาทกันอยู่ในศาล ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตรา 496 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการทำความตกลงกันใหม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้จะได้กระทำหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีคำพิพากษาตามยอมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตราดังกล่าวดุจกันและข้อตกลงในประการหลังนี้ เป็นแต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความไม่นับว่าเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์อันจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่มิต้องบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ทีเดียว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491)
ในกรณีที่มิต้องบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ทีเดียว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถือเป็นการขยายเวลาไถ่ และการแก้ไขสัญญาไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน
การตกลงกันกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์สินกันใหม่โดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเลิกคดีที่พิพาทกันอยู่ในศาล ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตรา 496 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการทำความตกลงกันใหม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแม้จะได้กระทำหลังจากกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีคำพิพากษาตามยอมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นการขยายเวลาไถ่ในภายหลังตามความหมายของมาตราดังกล่าวดุจกันและข้อตกลงในประการหลังนี้ เป็นแต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความไม่นับว่าเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์อันจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่มิต้องบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ทีเดียว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491)
ในกรณีที่มิต้องบังคับคดีโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องออกหมายบังคับคดีเสียก่อน เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลก็มีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังจำเลยได้ทีเดียว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 452/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การบังคับใช้กับบริวารที่ไม่เข้าผูกพันสัญญา
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายนาพิพาทแล้วคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมส่งมอบนาพิพาทให้โจทก์ กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อความว่า จำเลยและบริวารจะไม่เกี่ยวข้องกับนาพิพาทต่อไป แต่บริวารของจำเลยก็มิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย โจทก์จะอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความนี้มาบังคับแก่บริวารของจำเลยด้วยมิได้ จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้จับกุมและกักขังผู้ร้องซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาตามยอม และขอบเขตอำนาจศาลในการบังคับสัญญาประนีประนอม
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหลังจากที่มีคำสั่งนัดพร้อม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วหากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วหากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องมีคำร้องและไต่สวน การบังคับตามสัญญาประนีประนอมเมื่อมีการขายทรัพย์สิน
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหลังจากที่มีคำสั่งนัดพร้อม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยได้ขายที่ดินที่ส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว หากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยได้ขายที่ดินที่ส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว หากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ข้อเท็จจริงเรื่องความเป็นบริวารและการมีสิทธิทำสัญญาเช่า ย่อมแยกพิจารณาได้ แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นบริวาร
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ น. ฟ้องจำเลยว่าทำการก่อสร้างอาคารลงในที่ดินของ น. โดยไม่มีอำนาจ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์สั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปอยู่และทำการค้าในที่ดินและอาคารที่กำลังก่อสร้างของ น. ต่อมาศาลชั้นต้นเห็นว่า ย.เป็นบริวารจำเลยมีคำสั่งให้ย. ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามชั่วคราว ดังนี้เมื่อ ย.ต่อสู้ว่าย.ได้จองเช่าอาคารจากจำเลยโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและด้วยความรู้เห็นยินยอมของเจ้าของที่ดิน จึงเป็นเรื่อง ย. ยกข้อต่อสู้ของตนเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ในชั้นนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ย.เป็นบริวารของจำเลยศาลจะบังคับย.ตามคำร้องขอให้จับย. ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ของผู้อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทที่อ้างสัญญาจองเช่ากับผู้ก่อสร้าง ย่อมไม่ใช่การเป็นบริวารของจำเลย
โจทก์ในฐานผู้จัดการมรดกของ น.ฟ้องจำเลยว่าทำการก่อสร้างอาคารลงในที่ดินของ น.โดยไม่มีอำนาจ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์สั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปอยู่และทำการค้าในที่ดิน และอาคารที่กำลังก่อสร้างของ น. ต่อมาศาลชั้นต้นเห็นว่า ย. เป็นบริวารจำเลยมีคำสั่งให้ ย. ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามชั่วคราว ดังนี้เมื่อ ย. ต่อสู้ว่า ย. ได้จองเช่าอาคารจากจำเลยโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและด้วยความรู้เห็นยินยอมของเจ้าของที่ดิน จึงเป็นเรื่อง ย.ยกข้อต่อสู้ของตนเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ในชั้นนี้ยังฟังไม่ได้ว่า ย.เป็นบริวารของจำเลย ศาลจะบังคับ ย.ตามคำร้องขอให้จับ ย. ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 983/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานะโจทก์หลังมีคำพิพากษา: สิทธิการเช่าสิ้นสุด, การบังคับคดีสิ้นผล
ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนผนังตึกที่สร้างรุกล้ำและขนย้ายและออกไปให้พ้นเขตที่ดินที่โจทก์มีสิทธิการเช่า ต่อมาในชิ้นที่โจทก์ขอบังคบคดีปรากฏว่าเจ้าของที่พิพาทได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ และได้ให้จำเลยเช่าที่พิพาทแล้ว ฐานะในคดีของโจทก์จึงเปลี่ยนไปว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะใช้ที่พิพาทต่อไป และจำเลยคงอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าโดยตรงจากเจ้าของ รูปคดีไม่มีประโยชน์ต่อโจทก์ที่จะบังคับคดี