คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 297

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 114 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำพิพากษา: กรณีลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้โดยสุจริตเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องเขตที่ดิน
พฤติการณ์ที่ถือว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้โดยสุจริต ซึ่งศาลจะสั่งให้จับกุมและกักขังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำพิพากษา: ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้โดยสุจริต หากมีข้อพิพาทเรื่องเขตที่ดิน
พฤติการณ์ที่ถือว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้โดยสุจริต ซึ่งศาลจะสั่งให้จับกุมและกักขังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษา: จำเลยต้องส่งมอบห้องก่อน หากไม่ได้ ค่อยคืนเงิน ไม่ใช่ทางเลือก
คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดไปแล้วบังคับว่า ให้จำเลยส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถส่งมอบห้องได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ 12,500 บาท ดังนี้ เป็นการกำหนดให้จำเลยกระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ กล่าวคือ ไม่สามารถจะกระทำอย่างแรกแล้วจึงให้กระทำอย่างหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำหลายอย่างอันลูกหนี้จะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยต้องใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบอาชีพนั้น เหตุเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นอันพ้นวิสัย อันจะเป็นมูลให้จำเลยยกขึ้นอ้างว่าไม่สามารถส่งมอบห้องพิพาทได้ ฉะนั้น โอกาสที่จำเลยจะขอคืนเงินให้โจทก์จึงยังไม่อาจเกิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษา: ส่งมอบห้องหรือคืนเงิน, การบังคับตามลำดับ และเหตุพ้นวิสัย
คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดไปแล้วบังคับว่า ให้จำเลยส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถส่งมอบห้องได้ ก็ให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ 12,500 บาท ดังนี้เป็นการกำหนดให้จำเลยกระทำการชำระหนี้ทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ กล่าวคือ ไม่สามารถจะกระทำอย่างแรกแล้วจึงให้กระทำอย่างหลัง ไม่ใช่เป็นการกระทำหลายอย่างอันลูกหนี้จะพึงเลือกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 198 การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยต้องใช้ห้องพิพาทเพื่อประกอบอาชีพนั้น เหตุเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นอันพ้นวิสัยอันจะเป็นมูลให้จำเลยยกขึ้นอ้างว่าไม่สามารถส่งมอบห้องพิพาทได้ ฉะนั้น โอกาสที่จำเลยจะขอคืนเงินให้โจทก์ จึงยังไม่อาจเกิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีสัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลไม่อาจบังคับคดีเมื่อทรัพย์ตามสัญญาถูกขายไปแล้ว
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้นๆให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรมยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อมีการขายทรัพย์ตามพินัยกรรม: ศาลไม่อาจบังคับคดีได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้น ๆ ให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตาม สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรม ยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณี ที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนสิ่งรุกล้ำลำน้ำ: อำนาจบังคับคดีของศาลและเจ้าท่าตามกฎหมายเฉพาะ
เมื่อศาลได้พิพากษาลงโทษปรับจำเลยฐานปลูกสร้างอาคารล่วงล้ำในลำแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมิได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา 117,118 กับสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่สร้างเพิ่มเติมล่วงล้ำลงไปในลำแม่น้ำเจ้าพระยาภายในกำหนด 1 เดือนแล้ว หากจำเลยขัดขืนไม่ยอมรื้อถอนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าท่าหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ชอบที่จะดำเนินการตามคำสั่งของศาลจัดการรื้อถอนโดยคิดเอาค่าใช้จ่ายในการนั้นแก่จำเลยได้ดังที่พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 มาตรา118 บัญญัติไว้ หาใช่มาขอให้ศาลบังคับจำเลยโดยวิธีการอย่างอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297,298 ไม่ เพราะมิใช่เป็นการบังคับคดีแพ่ง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนั้นและมิใช่เป็นการบังคับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ค่าทดแทนหรือค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 249 เป็นเรื่องที่เจ้าท่าหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จะต้องเข้าดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลมีอำนาจพิจารณาบังคับคดีตามความเป็นจริง แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หากมีเหตุเปลี่ยนแปลง
โจทก์ฟ้องจำเลย ศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วเป็นผลว่าให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ 2 งาน โดยวัดจากหลักหมายเลขที่ 12021 ไปหาหลักเลขที่ 08080 โดยให้เป็นรูปที่ดินตามเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ถ้าหากจำเลยไม่ปฏิบัติการโอนให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยนี้ด้วย ถ้าจำเลยไม่สามารถขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ได้ตามที่กล่าวแล้ว ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงินมัดจำ 5,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาทดังนี้ ในการบังคับคดีย่อมเป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นที่จะต้องดูว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะปฏิบัติการโอนขายที่พิพาทให้โจทก์2 งานดังกล่าวแล้วได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ และจะถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยได้หรือไม่เมื่อไม่มีทางปฏิบัติตามที่กล่าวนั้นได้แล้วจึงจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 5,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 10,000 บาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น ในชั้นแรกข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า จำเลยไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับโดยวิธีแรกนั้นได้ โจทก์ขอให้บังคับการโอนเป็นอย่างอื่นศาลชั้นต้นจึงสั่งบังคับให้เป็นไปโดยวิธีที่สอง คือให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นขึ้นมาและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามนั้นก็ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาก็เป็นคำวินิจฉัยในเรื่องคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นนั้นเองเป็นการวินิจฉัยในกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล จึงต้องด้วยข้อยกเว้นให้รื้อร้องกันอีกได้ตามมาตรา 148(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวนั้น คือ ยังมิได้คืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ถ้ามีข้อเท็จจริงใหม่ปรากฏต่อศาลว่าศาลอาจดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาโดยวิธีแรกอันเป็นคำบังคับตามคำขอที่เป็นประธานในคดีนี้ได้อยู่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอคำบังคับศาลให้ดำเนินการไปตามความจริงตามคำพิพากษาได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง: เมื่อจำเลยรื้อถอนตามคำบังคับแล้ว โจทก์ไม่ติดใจฟ้องร้อง ศาลยกคำร้อง
ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยปฏิบัติคำบังคับเพียงบางส่วน ยังไม่ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างบางอย่างออกไปขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามเพื่อบังคับคดีต่อไป จำเลยแก้ว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนั้นจำเลยปลูกขึ้นใหม่โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสวัดโจทก์ และต่อมาได้สอบเขตแล้วปรากฏว่าวัดโจทก์รุกล้ำที่ดินของผู้อื่นในส่วนที่จำเลยเช่ามา ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานบางส่วนแล้วสั่งงดสืบพยานและเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยยังอยู่ในที่ดินโจทก์ให้เรียกจำเลยมาสอบถามในการที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วสั่งใหม่ โจทก์ฎีกาว่า (ในระหว่างอุทธรณ์) จำเลยได้ปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว ไม่มีประโยชน์ในการที่จะไต่สวนต่อไปดังนี้ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ยกคำร้องโจทก์เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล และอำนาจศาลสั่งงดบังคับคดีระหว่างพิจารณาคดีใหม่
คำสั่งใด ๆ ของศาลล่าง เมื่อไม่มีบทบัญญัติให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดหรือบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาได้แล้ว คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกา คัดค้านคำสั่งนั้นต่อศาลสูงได้ เมื่อเป็นกรณีที่อุทธรณ์ได้แล้ว ควรอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยได้ การที่สั่งให้ทุเลาการบังคับหรือให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนนั้น เมื่อมีอุทธรณ์มาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งได้ ไม่ใช่มีผลให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
ตามป.วิ.พ. มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่ เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน ถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้บังคับคดีไว้ก่อนได้แล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
of 12