คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เชื้อ คงคากุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของคำพิพากษาในคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และการใช้ดุลพินิจเรื่องค่าเสียหายและค่าทนาย
มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับ ทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และดุลพินิจการลดค่าเสียหาย/ค่าทนาย
มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเรียกบุคคลภายนอกเป็นคู่ความต้องแสดงเหตุผลความล่าช้า หากไม่ทำ ศาลย่อมยกคำร้องได้
การยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความภายหลังยื่นฟ้องหรือคำให้การแล้ว จำต้องชี้แจงเหตุผลประกอบให้ปรากฏด้วยว่าเหตุใดจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอหมายเรียกเสียเมื่อแรกยื่นฟ้อง ทั้งนี้ เพื่อศาลจะได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะให้ออกหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความด้วยหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นโจทก์ด้วย โดยอ้างแต่เหตุเพื่อคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของตนแต่ประการเดียว ส่วนเหตุผลที่มายื่นคำร้องล่วงเลยล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างไว้เลย เช่นนี้ ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นเสีย (อ้างฎีกาที่ 706/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเรียกบุคคลภายนอกเป็นคู่ความต้องแจ้งเหตุผลล่าช้า หากไม่แจ้งศาลย่อมยกคำร้อง
การยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความภายหลังยื่นฟ้องหรือคำให้การแล้ว จำต้องชี้แจ้งเหตุผลประกอบให้ปรากฏด้วยว่า เหตุใดจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอหมายเรียกเสียเมื่อแรกยื่นฟ้อง ทั้งนี้ เพื่อศาลจะได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะให้ออกหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความด้วยหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นโจทก์ด้วย โดยอ้างแต่เหตุเพื่อคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของตนแต่ประการเดียว ส่วนเหตุผลที่มายื่นคำร้องล่วงเลยล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างไว้เลย เช่นนี้ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นเสีย (อ้างฎีกาที่ 706/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เช่า: การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเช่าเป็นอำนาจของเจ้าของที่ดินเมื่อผู้เช่ายังมิได้เข้าครอบครอง
ผู้เช่าไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่า การที่จะจัดการให้จำเลยผู้ซึ่งไม่ได้เช่าที่ดินส่วนนั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าของที่ดิน ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างฎีกาที่ 774-776/2505)
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโจทก์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อโต้เถียงอื่นๆ ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เช่า: กรณีจำเลยรุกล้ำพื้นที่เช่าที่สิ่งปลูกสร้างมีอยู่ก่อน ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้อง
ผู้เช่าไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าการที่จะจัดการให้จำเลยผู้ซึ่งไม่ได้เช่าที่ดินส่วนนั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าของที่ดิน ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างฎีกาที่ 774-776/2505)
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโจทก์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อโต้เถียงอื่นๆ ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินต้องมีโฉนด ผู้ครอบครองด้วยใบไต่สวนยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีไม่มีข้อพิพาท
ตราบใดที่ผู้ถือที่ดินยังไม่ได้มาซึ่งโฉนดหรือยังไม่ได้รับโฉนดไปจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ยึดถือไว้ก็จะถือว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินอันแท้จริงถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ได้
การที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น จะมีได้แต่เฉพาะในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นแล้ว ซึ่งหมายความว่าที่ดินนั้นได้ออกโฉนดแผนที่แล้วด้วย ถ้าหากเป็นที่ดินที่ยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย เช่นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้ทอดทิ้ง หรือเวนคืนหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ผู้ครอบครองที่ดินชนิดนี้หามีโอกาสได้กรรมสิทธิ์อย่างใดไม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานออกใบไต่สวนให้เท่านั้น ใบไต่สวนนี้หาใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างโฉนดแผนที่แต่อย่างใดไม่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาใช้ไม่ได้
เมื่อผู้ร้องยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่นา ผู้ร้องก็จะร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์หาได้ไม่
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติที่สืบเนื่องมาจากมาตรา 72,73,74,75. ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่คู่กรณีแสดงเจตนาทำนิติกรรมต่อกันตามความในมาตรา 72 เนื่องจากใบไต่สวนไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน จึงต้องอนุโลมให้จดแจ้งในใบไต่สวนตามวิธีการจดทะเบียนโฉนดที่ดิน มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการจดทะเบียนสิทธิที่ได้มาโดยนิติกรรมเท่านั้น การจดทะเบียนตามมาตรา 76 มิได้บัญญัติให้ผู้ครอบครองที่ดินชนิดนี้ต้องใช้สิทธิทางศาล เป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเสียก่อน เจ้าพนักงานจะเกี่ยงให้ผู้ร้องซึ่งครอบครองที่ดินที่มีเพียงใบไต่สวนต้องนำคำสั่งศาลไปแสดงจึงจะดำเนินการออกโฉนดหาได้ไม่ เพราะกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องประสงค์จะขอออกโฉนดที่นาแปลงนี้ก็ชอบที่จะไปร้องขอทางเจ้าพนักงานที่ดิน หากเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่ปฏิบัติการให้หรือมีผู้โต้แย้งประการใด ผู้ร้องจึงชอบที่จะมาดำเนินคดีเป็นคดีมีข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะมีโฉนด การครอบครองที่ดินด้วยใบไต่สวนยังไม่เพียงพอต่อการแสดงกรรมสิทธิ์
ตราบใดที่ผู้ถือที่ดินยังไม่ได้มาซึ่งโฉนดหรือยังไม่ได้รับโฉนดไปจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ที่ยึดถือไว้ก็จะถือว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินอันแท้จริงถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ได้
การที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น จะมีได้แต่เฉพาะในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นแล้ว ซึ่งหมายความว่าที่ดินนั้นได้ออกโฉนดแผนที่แล้วด้วย ถ้าหากเป็นที่ดินที่ยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครเลย เช่น ที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินซึ่งมีผู้ทอดทิ้ง หรือเวนคืน หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ผู้ครอบครองที่ดินชนิดนี้หามีโอกาสได้กรรมสิทธิ์อย่างใดไม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานออกใบไต่สวนให้เท่านั้น ใบไต่สวนนี้หาใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างโฉนดแผนที่แต่อย่างใดไม่ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาใช้ไม่ได้
เมื่อผู้ร้องยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่นา ผู้ร้องก็จะร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์หาได้ไม่
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติที่สืบเนื่องมาจากมาตรา 72,73,74,75 ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่คู่กรณีแสดงเจตนาทำนิติกรรมต่อกัน ตามความในมาตรา 72 เนื่องจากใบไต่สวนไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน จึงต้องอนุโลมให้จดแจ้งในใบไต่สวนตามวิธีการจดทะเบียนโฉนดที่ดิน มาตรา 76 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยวิธีการจดทะเบียนสิทธิที่ได้มาโดยนิติกรรมเท่านั้น การจดทะเบียนตามมาตรา 76 มิได้บัญญัติให้ผู้ครอบครองที่ดินชนิดนี้ต้องใช้สิทธิทางศาล เป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเสียก่อน เจ้าพนักงานจะเกี่ยงให้ผู้ร้องซึ่งครอบครองที่ดินที่มีเพียงใบไต่สวนต้องนำคำสั่งศาลไปแสดงจึงจะดำเนินการออกโฉนดหาได้ไม่ เพราะกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องประสงค์จะขอออกโ ฉนดที่นาแปลงนี้ก็ชอบที่จะไปร้องขอทางเจ้าพนักงานที่ดิน หากเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่ปฏิบัติการให้หรือมีผู้โต้แย้งประการใด ผู้ร้องจึงชอบที่จะมาดำเนินคดีเป็นคดีมีข้อพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการเรียกคืนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ถูกชำระหนี้หลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ข้อที่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเรียกเอาไปชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109(3) จะต้องเป็นสิ่งของ ไม่ใช่ตัวเงินนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นแต่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวชั้นศาลอุทธรณ์แล้ว ย่อมอ้างอิงปัญหาข้อนี้ในชั้นฎีกาได้
แม้ว่าตัวเงินจะมิใช่สิ่งของ แต่เงินก็เป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งมีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามมาตรา109(1) ฉะนั้น ถึงแม้ผู้ร้องจะเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนด้วย ก็ไม่มีอำนาจที่จะนำเงินของหุ้นส่วนซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วเอาไปชำระหนี้บุคคลภายนอกโดยลำพังได้ ฉะนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ เพราะเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา 109(1) ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการเรียกคืนเงินที่ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ข้อที่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเรียกเอาไปชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109(3) จะต้องเป็นสิ่งของ ไม่ใช่ตัวเงินนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น แต่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวชั้นศาลอุทธรณ์แล้ว ย่อมอ้างอิงปัญหาข้อนี้ในชั้นฎีกาได้
แม้ว่าตัวเงินจะมิใช่สิ่งของ แต่เงินก็เป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งมีอยู่ในเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามมาตรา 109(1) ฉะนั้น ถึงแม้ผู้ร้องจะเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนด้วย ก็ไม่มีอำนาจที่จะนำเงินของหุ้นส่วนซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการได้ถูกศาลสิ่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วเอาไปชำระหนี้บุคคลภายนอกโดยลำพังได้ ฉะนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ เพราะเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา 109(1) ดังกล่าว
of 104