พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185-186/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลแขวงฟัง ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
คดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกข้อเท็จจริงบางประการที่ศาลแขวงมิได้วินิจฉัยไว้ขึ้นชี้ขาดเสียเองเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาเพราะศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลแขวง ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่พอเพียงศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงใดๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปได้ตามแต่จะเห็นสมควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3) ข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำหลังศาลทหารไม่รับอำนาจ พิจารณาคดีอาญาฐานลักทรัพย์/รับของโจร และผลกระทบต่อการดำเนินคดีในศาลพลเรือน
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัยจำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัยจึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อนหลังศาลทหารไม่รับคำฟ้อง และขอบเขตอำนาจศาล
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯ ศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัย จำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้ แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร ของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้ สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนเงินให้ผู้สั่งจ่ายเช็คในคดีล้มละลาย: เช็คของผู้ถือไม่เป็นทรัพย์สินของลูกหนี้
ผู้ร้องในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คร้องขอรับเงินซึ่งได้ชำระไว้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนเพื่อนำไปชำระแก่ผู้ทรงเช็คที่กำลังดำเนินคดีกับผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่าตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้ให้งดการคืนเงินให้ผู้ร้องจนกว่าศาลจะได้พิพากษาคดีถึงที่สุดคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวนี้ไม่มีลักษณะเป็นคำสั่งเด็ดขาดเป็นแต่เพียงงดจ่ายไว้ก่อนเช่นนี้ผู้ร้องยังไม่จำต้องร้องคัดค้าน
ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาให้ผู้ร้องแพ้คดีแล้วรายหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ร้องเสียหายผู้ร้องจึงได้ยืนยันขอรับเงินจำนวนนี้คืนอีก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คงสั่งทำนองเดียวกันกับครั้งแรก ผู้ร้องย่อมยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลภายในกำหนด 14 วันนับแต่ทราบคำสั่งครั้งหลัง ตามมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายได้
ผู้ร้องออกเช็คชนิดผู้ถือเพื่อชำระหนี้แทนผู้ซื้อตึกแถวและที่ดินของจำเลย แต่ปรากฏว่าในขณะที่จำเลยล้มละลายนั้นเช็คนั้นได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ทรง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เช่นนี้ไม่ถือว่าเช็คเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของจำเลยผู้ล้มละลายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้าเรียกเก็บเงินได้
ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาให้ผู้ร้องแพ้คดีแล้วรายหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ร้องเสียหายผู้ร้องจึงได้ยืนยันขอรับเงินจำนวนนี้คืนอีก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คงสั่งทำนองเดียวกันกับครั้งแรก ผู้ร้องย่อมยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลภายในกำหนด 14 วันนับแต่ทราบคำสั่งครั้งหลัง ตามมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายได้
ผู้ร้องออกเช็คชนิดผู้ถือเพื่อชำระหนี้แทนผู้ซื้อตึกแถวและที่ดินของจำเลย แต่ปรากฏว่าในขณะที่จำเลยล้มละลายนั้นเช็คนั้นได้ตกไปอยู่ในมือของผู้ทรง ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เช่นนี้ไม่ถือว่าเช็คเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของจำเลยผู้ล้มละลายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้าเรียกเก็บเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ร้องสอด - คำร้องสอดเป็นทั้งคำให้การและฟ้องแย้ง - ไม่อาจใช้บทจำเลยขาดนัด
(1)บทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดยื่นคำให้การจะนำมาใช้แก่ผู้ร้องสอดหาได้ไม่
(2)คำร้องของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 นั้น ย่อมเป็นทั้งคำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีได้อยู่ในตัวแล้วแต่กรณี
(3)เมื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 กำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
(2)คำร้องของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 นั้น ย่อมเป็นทั้งคำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีได้อยู่ในตัวแล้วแต่กรณี
(3)เมื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 กำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ร้องสอด - คำร้องเป็นฟ้องแย้ง - การใช้กระดาษแบบพิมพ์ - เจ้าของที่ดิน
(1)บทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดยื่นคำให้การจะนำใช้แก่ผู้ร้องสอดหาได้ไม่
(2)คำร้องของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 นั้น ย่อมเป็นทั้งค่ำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีได้อยู่ในตัว แล้วแต่กรณี
(3)เมื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 กำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
(2)คำร้องของผู้ร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 นั้น ย่อมเป็นทั้งค่ำให้การต่อสู้และฟ้องแย้งคดีได้อยู่ในตัว แล้วแต่กรณี
(3)เมื่อตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 กำหนดให้ผู้ร้องสอดทำคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ก็ย่อมใช้กระดาษแบบคำร้องตลอดถึงฟ้องแย้งในคำร้องสอดนั้นด้วยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงิน ช.พ.ค. ไม่ใช่กองมรดก สิทธิในการจัดการเป็นของ ช.พ.ค. พินัยกรรมยกให้ผู้อื่นจึงไม่สมบูรณ์
เงินช่วยเพื่อนครู (ช.พ.ค.) ซึ่งสมาชิกช่วยกันบริจาคเพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลืองานศพและครอบครัวของสมาชิกคนใดคนหนึ่งซึ่งถึงแก่กรรมลงนั้นไม่ใช่กองมรดกของผู้ตายผู้ตายจึงทำพินัยกรรมยกให้ใครไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงิน ช.พ.ค. เพื่อช่วยเหลือศพ/ครอบครัว ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัว จึงทำพินัยกรรมยกไม่ได้
เงินช่วยเพื่อนครู(ช.พ.ค.) ซึงสมาชิกช่วยกันบริจาค เพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลืองานศพและครอบครัวของสมาชิกคนใดคนหนึ่งซึ่งถึงแก่กรรมลงนั้น ไม่ใช่กองมรดกของผู้ตาย ผู้ตายจึงทำพินัยกรรมยกให้ใครไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลายไม่เป็นฟ้องซ้ำคดีแพ่ง หากประเด็นต่างกัน คือ คดีแพ่งชี้สถานะลูกหนี้ ส่วนคดีล้มละลายชี้สถานะหนี้สินล้นพ้นตัว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลย แต่มีผู้ร้องขัดทรัพย์ ทรัพย์ที่เหลือไม่พอชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย การฟ้องเช่นนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้นเป็นเรื่องชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่า เมื่อจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ควรตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ การวินิจฉัยคดีทั้งสองนี้มิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในหนี้เดียวกัน: การฟ้องล้มละลายหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน
โจทก์เคยฟ้องคดีแพ่งถึงที่สุดไปแล้ว ศาลชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีในหนี้รายเดียวกันว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวควรตกเป็นบุคคลล้มละลายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้อน หรือฟ้องซ้ำ