พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานทุจริตเรียกรับเงินปล่อยตัวผู้ต้องหา ความผิดตามมาตรา 149 ย่อมไม่ผิดมาตรา 157
เป็นเจ้าพนักงานทำการจับกุมเขาโดยชอบแล้ว แต่กลับทุจริตเรียกและรับเงินแล้วปล่อยไปไม่ส่งตัวเพื่อดำเนินคดี ความผิดย่อมเข้าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 5 แต่ไม่ผิดมาตรา 148 เพราะมาตรา 148 เป็นเรื่องเริ่มต้นด้วยการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบแต่มาตรา 149 นั้น เป็นเรื่องเริ่มต้นโดยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยชอบแล้วกลับทุจริต
อนึ่ง เมื่อผิดมาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่ผิดมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
อนึ่ง เมื่อผิดมาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่ผิดมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานทุจริตเรียกรับเงินแล้วปล่อยตัวผู้ต้องหา ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
เป็นเจ้าพนักงานทำการจับกุมเขาโดยชอบแล้ว แต่กลับทุจริตเรียกและรับเงินแล้วปล่อยตัวไปไม่ส่งตัวเพื่อดำเนินคดี ความผิดย่อมเข้าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2502 มาตรา 5 แต่ไม่ผิดมาตรา 148 เพราะมาตรา148 เป็นเรื่องเริ่มต้นด้วยการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ แต่มาตรา 149 นั้น เป็นเรื่องเริ่มต้นโดยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยชอบแล้วกลับทุจริต
อนึ่ง เมื่อผิดมาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่ผิดมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
อนึ่ง เมื่อผิดมาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่ผิดมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานภาษีโภคภัณฑ์: การลงบัญชีไม่ครบถ้วนกับไม่ทำบัญชี มีความแตกต่างกันทางโทษ
เจ้าหน้าที่สรรพากรได้มีคำสั่งบังคับให้โจทก์เสียภาษีโภคภัณฑ์และเงินเพิ่มจนถึงกับจะยึดทรัพย์โจทก์เพื่อเอาชำระค่าภาษีนั้น นับว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์แล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องศาลได้
ประมวลรัษฎากร มาตรา 190 เป็นบทความผิดสำหรับผู้ค้าโภคภัณฑ์ที่มีโภคภัณฑ์ขาดหรือเกินบัญชี ภ.ภ.11 คือลงบัญชีไว้ไม่ครบถ้วนส่วน มาตรา 197 เป็นบทความผิดผู้ที่ไม่ทำบัญชี ภ.ภ.11 หรือทำแล้วไม่เก็บบัญชีไว้ 5 ปี เป็นการแยกความผิดฐานลงบัญชีไม่ครบถ้วน กับการไม่ทำบัญชีเสียเลยให้มีโทษหนักเบาต่างกัน
โจทก์ได้สั่งโภคภัณฑ์เข้ามาเป็นคราวๆ และได้ลงบัญชีภ.ภ.11 แล้ว แต่คราวสุดท้ายไม่ลงบัญชีเลย ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องลงบัญชีไม่ครบถ้วนอันเป็นเหตุให้มีโภคภัณฑ์ขาดหรือเกินจากบัญชี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 190 แต่ต้องถือว่าไม่ได้ทำบัญชีตาม มาตรา 197 เจ้าพนักงานจึงเรียกเก็บภาษีและเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ได้
ประมวลรัษฎากร มาตรา 190 เป็นบทความผิดสำหรับผู้ค้าโภคภัณฑ์ที่มีโภคภัณฑ์ขาดหรือเกินบัญชี ภ.ภ.11 คือลงบัญชีไว้ไม่ครบถ้วนส่วน มาตรา 197 เป็นบทความผิดผู้ที่ไม่ทำบัญชี ภ.ภ.11 หรือทำแล้วไม่เก็บบัญชีไว้ 5 ปี เป็นการแยกความผิดฐานลงบัญชีไม่ครบถ้วน กับการไม่ทำบัญชีเสียเลยให้มีโทษหนักเบาต่างกัน
โจทก์ได้สั่งโภคภัณฑ์เข้ามาเป็นคราวๆ และได้ลงบัญชีภ.ภ.11 แล้ว แต่คราวสุดท้ายไม่ลงบัญชีเลย ดังนี้ ไม่ใช่เรื่องลงบัญชีไม่ครบถ้วนอันเป็นเหตุให้มีโภคภัณฑ์ขาดหรือเกินจากบัญชี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 190 แต่ต้องถือว่าไม่ได้ทำบัญชีตาม มาตรา 197 เจ้าพนักงานจึงเรียกเก็บภาษีและเงินเพิ่มจากโจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องร้องขอคุ้มครองสิทธิในสัญชาติ: การพิสูจน์สัญชาติก่อนฟ้องคดี
โจทก์ถือหนังสือเดินทางที่พนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงออกให้เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราว กองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาต แต่ก่อนถึงวันครบกำหนด โจทก์ก็ยื่นฟ้องกรมตำรวจกับหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลย อ้างว่าโจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด ขอให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย ทั้งนี้ โดยโจทก์ให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทย เมื่อครบกำหนดวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วทางจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทยและโจทก์ไม่มีหลักฐานใด แสดงว่าก่อนยื่นฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทย ไม่ได้ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีต้องเกิดจากข้อพิพาทที่ชัดเจน การฟ้องก่อนดำเนินการตามกฎหมายเพื่อพิสูจน์สัญชาติจึงไม่ชอบ
โจทก์ถือหนังสือเดินทางที่พนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกงออกให้ ระบุว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติจีน เมื่อโจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยเพื่อขออยู่ชั่วคราวกองตรวจคนเข้าเมืองก็อนุญาต แต่ก่อนถึงวันครบกำหนด โจทก์ก็ยื่นฟ้องกรมตำรวจกับหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นคนไทยโดยกำเนิด ขอให้จำเลยระงับคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย ทั้งนี้ โดยโจทก์ให้เหตุผลว่ากลัวจะถูกส่งออกนอกประเทศไทยเมื่อครบกำหนดวันที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วทางจำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่จะอยู่ในประเทศไทยและโจทก์ไม่มีหลักฐานใดแสดงว่าก่อนยื่นฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เคยร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เป็นคนไทย ไม่ได้ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลหรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จทำให้ถูกสอบสวน: คดีมีมูลควรพิจารณา แม้ไม่ประสงค์ดำเนินคดี
คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลยนั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีก็ตาม แต่จากคำแจ้งความนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน เมื่อโจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้เช่นนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงโจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหาย นั้น นับว่าคดีของโจทก์มีมูล ควรได้รับการพิจารณาแล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2505)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จทำให้ผู้อื่นถูกสอบสวน – แม้ไม่ประสงค์ดำเนินคดี ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายได้
คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปอยู่ในห้องของจำเลย นั้น แม้จำเลยผู้แจ้งจะไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีก็ตาม แต่จากคำแจ้งความนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกโจทก์กับพวกไปสอบสวน เมื่อโจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้เช่นนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงโจทก์ก็น่าจะได้รับความเสียหาย นั้น นับว่าคดีของโจทก์มีมูล ควรได้รับการพิจารณาแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ขาดอำนาจฟ้องเรียกคืนที่ดิน แต่ยังเรียกค่าเสียหายจากการแย่งการครอบครองได้ หากจำเลยไม่ยกอายุความ
แม้ศาลจะฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้ เพราะโจทก์ฟ้งอคดีภายหลังที่จำเลยเข้าแย่งการครอบครองเกิน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองมาในฟ้องด้วย โดยจำเลยมิได้ยกอายุความเรื่องละเมิดขึ้นต่อสู้ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ขาดอำนาจฟ้องเรียกคืนที่ดิน แต่ยังฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ หากจำเลยไม่ยกอายุความ
แม้ศาลจะฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้ เพราะโจทก์ฟ้องคดีภายหลังที่จำเลยเข้าแย่งการครอบครองเกิน 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองมาในฟ้องด้วยและจำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันจากการประนีประนอมยอมความในคดีรถชน: เจ้าของรถไม่ต้องรับผิด
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น ถ้าไม่มีคำพิพากษาคดีส่วนอาญา คงมีแต่คำรับผิดในชั้นสอบสวนเท่านั้น ก็ไม่เข้าเกณฑ์มาตรานี้
คดีรถชนกัน การที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบ และทำเอกสารไว้เป็นหลักฐานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โดยจะไปทำความตกลงกันที่อู่ซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นการประนีประนอมยอมความกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งผูกมัดจำเลยที่ 1 ไม่ให้โต้แย้งว่าตนมิได้ขับรถโดยประมาทได้ แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถและนายจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ถูกผูกมัดด้วย ศาลจะต้องพิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่อไปว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาท
คดีรถชนกัน การที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบ และทำเอกสารไว้เป็นหลักฐานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โดยจะไปทำความตกลงกันที่อู่ซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นการประนีประนอมยอมความกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งผูกมัดจำเลยที่ 1 ไม่ให้โต้แย้งว่าตนมิได้ขับรถโดยประมาทได้ แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถและนายจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ถูกผูกมัดด้วย ศาลจะต้องพิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่อไปว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาท