คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เชื้อ คงคากุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประนีประนอมยอมความระงับผลคำพิพากษาเดิม: สิทธิในทรัพย์สินยังคงอยู่ตามนิติกรรมเดิม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและเรือนพิพาท จำเลยฎีกา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยไม่ขอถือเอาผลของคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองมาใช้บังคับต่อไป และศาลฎีกาได้พิพากษาไปตามยอมแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาของศาลล่างย่อมระงับไปโดยผลของคำพิพากษาศาลฎีกา นิติกรรมการซื้อขายจึงมิได้ถูกเพิกถอนแต่อย่างใด ในเบื้องต้นจึงต้องฟังว่า เรือนพิพาทยังเป็นของผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย เมื่อผู้ซื้อถึงแก่กรรมทายาทของผู้ซื้อจึงมีสิทธิในเรือนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดียึดทรัพย์สินสมรส: สิทธิของผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมและหน้าที่ของศาลในการไต่สวน
โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานกองหมายยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและภรรยาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และทำการขายทอดตลาดได้เงินมา และกองหมายได้กันเงินส่วนของภรรยาไว้ โจทก์ยื่นคำร้องว่าทรัพย์รายนี้เป็นสินสมรสขอให้ศาลสั่งกองหมายแก้บัญชีโดยไม่ต้องหักเงินเป็นส่วนของภรรยาศาลชั้นต้นสอบโจทก์และเจ้าพนักงานกองหมายและมีคำสั่งว่า ที่ดินที่ขายเป็นสินบริคณห์ ให้กองหมายจ่ายเงินค่าขายที่ทั้งหมดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา นั้นหาเป็นการชอบไม่เพราะภรรยามีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับสามีถือได้ว่าภรรยาเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280(2) แต่ศาลชั้นต้นไม่เคยไต่สวนหรือสอบผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แต่ประการใดจึงสมควรให้โอกาสแก่ภรรยาของจำเลยจะโต้แย้งประการใดหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดียึดทรัพย์สินสมรส: ศาลต้องให้คู่ความผู้มีส่วนได้เสีย (ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม) โต้แย้งก่อนมีคำสั่ง
โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานกองหมายยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและภรรยาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และทำการขาดทอดตลาดได้เงินมา และกองหมายได้กันเงินส่วนของภรรยาไว้ โจทก์ยื่นคำร้องว่าทรัพย์รายนี้เป็นสินสมรส ขอให้ศาลสั่งกองหมายแก้บัญชีโดยไม่ต้องหักเงินเป็นส่วนของภรรยาศาลชั้นต้นสอบโจทก์และเจ้าพนักงานกองหมายและมีคำสั่งว่า ที่ดินที่ขายเป็นสินบริคณห์ ให้กองหมายจ่ายเงินค่าขายที่ทั้งหมดชำระหนี้ โจทก์ตามคำพิพากษา นั้นหาเป็นการชอบไม่ เพราะภรรยามีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับสามี ถือได้ว่าภรรยาเป็นผู้มีส่วนได้เสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา 280 (2) แต่ศาลชั้นต้นไม่เคยไต่สวนหรือสอบผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แต่ประการใด จึงสมควรให้โอกาสแก่ภรรยาของจำเลยจะโต้แย้งประการใดหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นในสินค้าต่างชนิดกันเป็นการลวงขายตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า
พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ม. 29 วรรค 2 ไม่ใช่แต่เพียงเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติ ม. 29 วรรคแรก หากแต่เป็นบทบัญญัติที่มีผลทั่วไปด้วยว่า หากมีการลวงขายเกิดขึ้นแล้ว ทางแก้ของผู้เสียหายจะพึงมีอยู่อย่างใด อาทิเช่น ในมูลกรณีละเมิด ก็พึงมีอยู่อย่างนั้น มิพักต้องคำนึงว่า ผู้ใดจดทะเบียนไว้หรือไม่ หรือจดทะเบียนก่อนหลังกันอย่างไร
ความหมายคำว่า "ลวงขาย" ใน พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ม. 29 วรรค 2 มิได้จำกัดเฉพาะสินค้าชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันเท่านั้น หากแต่มีความหมายกว้างครอบคลุมถึงกรณีต่าง ๆ ซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของผู้อื่น ซึ่งมีความหมายได้ว่าไม่ใช่เป็นการลวงในวัตถุเท่านั้น หากแต่เป็นการลวงในความเป็นเจ้าของด้วย
ฉะนั้น เมื่อจำเลยเอาคำว่า "แฟ๊บ" (FAB) ในลักษณะและสีเช่นเดียว กับของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลย ก็ย่อมเป็นการลวงขาย ผิดกฎหมายเรื่องละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลวงขายเครื่องหมายการค้า: การคุ้มครองสิทธิแม้ไม่ได้จดทะเบียน และขอบเขตการลวงขายที่ครอบคลุมความเป็นเจ้าของ
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา29 วรรค 2 ไม่ใช่แต่เพียงเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติ มาตรา 29 วรรคแรกหากแต่เป็นบทบัญญัติที่มีผลทั่วไปด้วยว่า หากมีการลวงขายเกิดขึ้นแล้วทางแก้ของผู้เสียหายจะพึงมีอยู่อย่างใด อาทิเช่น ในมูลกรณีละเมิดก็พึงมีอยู่อย่างนั้น มิพักต้องคำนึงว่าผู้ใดจดทะเบียนไว้หรือไม่ หรือจดทะเบียนก่อนหลังกันอย่างไร
ความหมายคำว่า 'ลวงขาย' ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474 มาตรา 29 วรรคสอง มิได้จำกัดเฉพาะสินค้าชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันเท่านั้น หากแต่มีความหมายกว้างครอบคลุมถึงกรณีต่างๆ ซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของผู้อื่นซึ่งมีความหมายได้ว่าไม่ใช่เป็นการลวงในวัตถุเท่านั้นหากแต่เป็นการลวงในความเป็นเจ้าของด้วย
ฉะนั้นเมื่อจำเลยเอาคำว่า 'แฟ๊บ'(FAB) ในลักษณะและสีเช่นเดียวกับของโจทก์ไปใช้กับสินค้าของจำเลย ก็ย่อมเป็นการลวงขายผิดกฎหมายเรื่องละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ: ศาลไม่อนุญาตหากเป็นการกล่าวอ้างการกระทำผิดใหม่
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยทุจริต ยักยอกเงินผลประโยชน์และเงินประเภทต่าง ๆ ของเทศบาลรวมเงิน 33,449 บาท 42 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ สืบพยาน 4 ปาก โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องโดยแยกลักษณะ ประเภทเงิน และจำนวนเงินเพิ่มขึ้นอีก 155,079 บาท 76 สตางค์ และจำนวนเงินตามรายการที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่ ไม่ได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ และสอบสวนในข้อหาใหม่ดังนี้ คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างการกระทำผิดของจำเลยขึ้นใหม่ จึงทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติม ฟ้องไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตาม มาตรา 164 ตอนต้นของ ป.วิ.อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มเติมในคดีอาญา: การกล่าวอ้างการกระทำผิดใหม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ราชการโดยทุจริต ยักยอกเงินผลประโยชน์และเงินประเภทต่างๆ ของเทศบาลรวมเงิน 33,449 บาท 42 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ สืบพยาน 4 ปาก โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องโดยแยกลักษณะประเภทเงิน และจำนวนเงินเพิ่มขึ้นอีก 155,079 บาท 76 สตางค์ และจำนวนเงินตามรายการที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่ไม่ได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ และสอบสวนในข้อหาใหม่ดังนี้ คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างการกระทำผิดของจำเลยขึ้นใหม่จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานโจทก์ที่สืบไปแล้วถึงการกระทำที่จำเลยถูกกล่าวหาขึ้นใหม่จึงทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 164 ตอนต้นของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากความล่าช้าในการสืบพยาน มิใช่ความผิดของโจทก์ ศาลต้องพิจารณาเหตุผลประกอบ
การขอเลื่อนสืบพยานโจทก์ถึง 6 ครั้ง ถ้าแต่ละครั้งไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ศาลก็ไม่ควรสั่งจำหน่ายคดี
ในการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 4 พยานโจทก์บางคนโทรเลขแจ้งว่าป่วย บางคนเซ็นทราบนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง โจทก์แถลงขอให้ศาลออกหมายจับพยานศาลสั่งให้ไต่สวนก่อนออกหมายจับและสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปและออกหมายเรียกพยานโดยกำหนดวันไว้ด้วยเป็นวันหลังจากวันนัดไต่สวนเพื่อออกหมายจับพยาน การที่ในวันนัดไต่สวนไม่มีคู่ความมาศาลเลย ทั้ง 2 ฝ่าย เช่นนี้ จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ไม่ได้เพราะการออกหมายเรียกให้พยานมาเบิกความในวันต่อไปนั้น ก็เท่ากับให้โอกาสพยานอีกครั้ง การไต่สวนเพื่อออกหมายจับก็ย่อมไม่จำเป็นซึ่งโจทก์อาจเข้าใจ เช่นนี้ก็ได้ จึงไม่ได้มาศาลในวันนัดไต่สวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนสืบพยานหลายครั้งที่ไม่ใช่ความผิดโจทก์ ศาลมิควรสั่งจำหน่ายคดีโดยง่าย
การขอเลื่อนสืบพยานโจทก์ถึง 6 ครั้ง ถ้าแต่ละครั้งไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ศาลก็ไม่ควรสั่งจำหน่ายคดี
ในการนัดสืบพยานโจทก์ครั้ง ที่ 4 พยานโจทก์บางคนโทรเลขแจ้งว่าป่วย บางคนเซ็นทราบนัดแล้ว ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง โจทก์แถลงขอให้ศาลออกหมายจับพยานศาลสั่งให้ไต่สวนก่อนออกหมายจับและสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปและออกหมายเรียกพยานโดยกำหนดวันไว้ด้วย เป็นวันหลังจากนัดนัดไต่สวนเพื่อออกหมายจับพยาน การที่ในวันนัดไต่สวนไม่มีคู่ความมาศาลเลย ทั้ง 2 ฝ่าย เช่นนี้ จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ไม่ได้ เพราะการออกหมายเรียกให้พยานมาเบิกความในวันต่อไปนั้น ก็เท่ากับให้โอกาศพยานอีกครั้ง การไต่สวนเพื่ออกหมายจับก็ย่อมไม่จำเป็นซึ่งโจทก์อาจเข้าใจเช่นนี้ก็ได้ จึงไม่ได้มาศาลในวันนัดไต่สวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันออกเช็คตามกฎหมายคือวันลงในเช็ค แม้จะเขียนเช็คล่วงหน้า
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2499 จำเลยออกเช็คไม่มีเงิน ขอให้ลงโทษชั้นพิจารณาตัวโจทก์เบิกความว่า วันที่ 20 ส.ค. 2499 จำเลยเขียนเช็คและเอามาแลกเงินสดจากโจทก์ไป ในเช็คนั้นลงวันสั่งจ่าย วันที่ 29 ส.ค. 2499 เช่นนี้จะถือว่า ทางพิจารณาได้ความว่า ทำผิดวันที่ 20 ต่างกับฟ้องซึ่งระบุว่า จำเลยออกเช็ควันที่ 29 และยกฟ้องเสียเลย หาได้ไม่เพราะในกรณีเช่นนี้ถือว่าวันที่ 29 ส.ค. 2499 เป็นวันที่จำเลยออกเช็คส่วนวันที่ 20 ส.ค. 2499 นั้นเป็นเพียงวันเขียนเช็คและจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้เพราะจำเลยรับว่า ได้ออกเช็คจริงแต่เป็นวันอื่น
(อ้างฎีกาที่ 415/2502)
of 104