คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เชื้อ คงคากุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ขัดกับคำฟ้อง แม้เหตุต่างกัน ศาลงดพยานจำเลยได้หากประวิงคดี
โจทก์เป็นสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์ซื้อและขายข้าว จำเลยเป็นผู้จัดการของโจทก์ เมื่อคณะกรรมการมาตรวจ ปรากฏว่าข้าวขาดจำนวน แต่จำเลยไม่มีเงินมาให้ตรวจ จำเลยจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ว่าจำเลยทำเงินขาดไป ซึ่งจะว่าเป็นเรื่องข้าวขาดหรือเงินขาดก็ได้ จำเลยก็จะต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้เช่นเดียวกัน หนังสือรับสภาพหนี้จึงไม่ขัดกับคำฟ้องที่ว่าจำเลยทำข้าวเปลือกขาดจำนวนไปอันเป็นเพียงการกล่าวไปถึงมูลเหตุที่จำเลยจะทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้เท่านั้น แต่ข้อใหญ่ใจความของฟ้องโจทก์ก็คือ เรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้ไว้นั่นเอง
พยานจำเลยเป็นพยานหมาย แต่จำเลยไม่ขอหมายเรียกพยานให้มาศาล ถือได้ว่าเป็นความผิดของจำเลย ทั้งตัวจำเลยเองก็ไม่ได้มาศาล คงมีแต่โทรเลขบอกมายังทนายว่าป่วย ขอเลื่อนถึง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการบอกป่วยมาลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานอย่างใด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับจำเลยไม่ขอหมายเรียกพยานล่วงหน้าเสียด้วย เลยไม่มีพยานมาศาลเช่นนี้ รูปเรื่องแสดงว่า จำเลยแกล้งประวิงคดีให้ล่าช้า ศาลย่อมสั่งงดพยานจำเลยเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียนและเกิน 3 ปี ผู้ซื้อที่ดินไม่ผูกพันสิทธิทำสัญญาเช่าเดิม
ผู้เช่าที่ดินทำสัญญาเช่าที่ดินกับเจ้าของเดิม และได้ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินนั้น โดยมีข้อตกลงในสัญญาว่าเมื่อสร้างอาคารเสร็จแล้ว จะต้องให้ผู้เช่าได้มีสิทธิใช้ประโยชน์ต่อไปเป็นกำหนด 15 ปี นับแต่ปลูกสร้างเสร็จแต่สัญญานี้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดเวลาเช่า 3 ปีล่วงเลยแล้ว ที่ดินแปลงนี้ได้โอนขายไปยังบุคคลอื่นต่อไป ผู้ที่รับซื้อที่ดินไว้ ย่อมฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินนั้นได้ เพราะข้อตกลงจะมีลักษณะเป็นสัญญาเช่าหรือเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างอื่นก็ตาม ย่อมไม่ผูกพันผู้ซื้อเพราะหากพิจารณาในแง่เป็นสัญญาเช่า ซึ่งผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วย การเช่ามีผลตามกฎหมายเพียง 3 ปีเท่านั้นเพราะไม่ได้จดทะเบียน กำหนดเวลาเช่า 3 ปี ก็ล่วงเลยมาเสียแล้ว และหากพิจารณาในแง่เป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างอื่นก็หามีผลผูกพันไปถึงผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกรับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยสุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียนและหมดอายุ ผู้ซื้อที่ดินย่อมไม่ผูกพันสัญญา
ผู้เช่าที่ดินทำสัญญาเช่าที่ดินกับเจ้าของเดิม และได้ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินนั้น โดยมีข้อตกลงในสัญญาว่า เมื่อสร้างอาคารเสร็จแล้ว จะต้องให้ผู้เช่าได้มีสิทธิใช้ประโยชน์ต่อไปเป็นกำหนด 15 ปี นับแต่ปลูกสร้างเสร็จแต่สัญญานี้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดเวลาเช่า 3 ปี ล่วงเลยแล้ว ที่ดินแปลงนี้ได้โอนขายไปยังบุคคลอื่นต่อไป ผู้ที่รับซื้อที่ดินไว้ ย่อมฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินนั้นได้ เพราะข้อตกลงจะมีลักษณะเป็นสัญญาเช่าหรือเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างอื่นก็ตาม ย่อมไม่ผูกพันผู้ซื้อ เพราะหากพิจารณาในแง่เป็นสัญญาเช่า ซึ่งผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่าด้วย การเช่ามีผลตามกฎหมายเพียง 3 ปีเท่านั้น เพราะไม่ได้จดทะเบียน กำหนดเวลาเช่า 3 ปี ก็ล่วงเลยมาเสียแล้วและหากพิจารณาในแง่เป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างอื่น ก็หามีผลผูกพันไปถึงผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกรับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยสุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยรับสารภาพความผิดฐานหนึ่ง ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว โจทก์ไม่อาจนำสืบให้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งได้
ผู้ว่าคดีฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาฐานรับของโจร โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร ดังนี้ ถือว่าจำเลยรับสารภาพเต็มตามฟ้องในความผิดฐานหนึ่งแล้ว ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับของจำเลย โจทก์จะโต้แย้งขอนำสืบให้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งไม่ได้ เพราะจะเป็นการนำสืบให้กลายเป็นความผิด 2 ฐานไป(อ้างฎีกาที่ 1801/2493)
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรซึ่งศาลแขวงสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะฐานรับของโจร ศาลอาญาจึงประทับฟ้องเฉพาะข้อหาฐานรับของโจรและจำเลยรับสารภาพฐานรับของโจรและศาลลงโทษไปแล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้รับประทับฟ้องทั้งฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จึงไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1)247 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยรับสารภาพความผิดฐานหนึ่ง ศาลพิพากษาลงโทษตามคำรับสารภาพ โจทก์ไม่อาจนำสืบความผิดฐานอื่นได้
ผู้ว่าคดีฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาฐานรับของโจร โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยรับสารภาพรับของโจร ดังนี้ ถือว่า จำเลยรับสารภาพเต็มตามฟ้องในความผิดฐานหนึ่งแล้ว ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับของจำเลย โจทก์จะโต้แย้งขอนำสืบให้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งไม่ได้ เพราะจะเป็นการนำสืบให้กลายเป็นความผิด 2 ฐานไป
(อ้างฎีกาที่ 1801/2493)
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญา ฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ซึ่งศาลแขวงสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะฐานรับของโจร ศาลอาญาจึงประทับฟ้องเฉพาะข้อหาฐานรับของโจร และจำเลยรับสารภาพ ฐานรับของโจรและศาลลงโทษไปแล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้รับประทับฟ้องทั้งฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จึงไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242(1), 247 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารและการใช้เอกสารปลอม โดยมีการระบุช่วงเวลาและกรณีแพ่งที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่กล่าวหาจำเลยว่า จำเลยได้สมคบกันกระทำผิดในการเปลี่ยนแปลงเอกสาร ทำปลอมเอกสาร พอสมควรที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วและกล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อระหว่าง วันที่ 21 กันยายน2495 ถึง วันที่ 26 ตุลาคม 2499 ทั้งนี้ โดยจำเลยนำเอกสารที่ทำปลอมไปใช้ในการฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งดำที่324/2499 ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งวันเวลาที่จำเลยนำเอกสารปลอมไปใช้ก็มีปรากฏอยู่ในคดีดังกล่าวจึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารและฉ้อโกง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ที่กล่าวหาจำเลยว่า จำเลยได้สมคบกันกระทำผิดในการเปลี่ยนแปลงเอกสาร ทำปลอมเอกสาร พอสมควรที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว และกล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อระหว่าง วันที่ 21 กันยายน 2495 ถึง วันที่ 26 ตุลาคม 2499 ทั้งนี้ โดยจำเลยนำเอกสารที่ทำปลอมไปใช้ในการฟ้องโจทก์ในคดีแพ่ง ดำที่ 324/2499 ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งวันเวลาที่จำเลยนำเอกสารปลอมไปใช้ก็มีปรากฏอยู่ในคดีดังกล่าว จึงหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์แบบค้ำจุน: อำนาจฟ้อง, ความรับผิด, และการตั้งอนุญาโตตุลาการ
โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้กับจำเลย ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยแบบประเภทบุคคลที่สาม ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 เรียกว่า ประกันภัยแบบค้ำจุน คือ ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้เงินค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอาประกันภัย เมื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่อีกบุคคลหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า คนขับรถของโจทก์ขับรถมาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของผู้อื่นเสียหายและคนตาย ผู้เสียหายฟ้องให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัย ดังนี้ถือว่าฟ้องของโจทก์ชัดเจนและครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกเงินจากผู้รับประกันภัยแบบค้ำจุน เพื่อจะเอาเงินไปเฉลี่ยให้แก่ผู้เสียหายซึ่งฟ้องเรียกเอาจากผู้เอาประกันภัย นั้น ไม่ใช่เป็นการฟ้องแทนผู้เสียหาย จึงไม่ต้องมีอำนาจฟ้องตามกรมธรรม์ประกันภัยอยู่แล้ว
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความระบุว่า ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามอันเกิดขึ้นจากการใช้ยานยนต์ที่ระบุในตารางแห่งกรมธรรม์นี้ ย่อมหมายความว่า การที่ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์ไปเกิดเหตุขึ้น และผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามซึ่งรวมถึงความประมาทเลินเล่อของฝ่ายผู้เอาประกันภัยด้วย ดังนี้ ผู้รับประกันภัยย่อมต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่สามในนามของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบกรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้นแล้ว คู่กรณีจะได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นแต่กรณีนี้ผู้รับประกันภัยมิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการ และยังบอกปัดปฏิเสธความรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้ ผู้เอาประกันภัยย่อมนำคดีมาฟ้องศาลโดยไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประกันภัยรถยนต์บุคคลที่สาม: ผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าเสียหายในนามผู้เอาประกันภัย แม้เกิดจากความประมาทของผู้เอาประกันภัย
โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้กับจำเลย ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยแบบประเภทบุคคลที่สาม ซึ่งตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 เรียกว่า ประกันภัยแบบค้ำจุน คือผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้เงินค่าสินไหมทดแทนในนามผู้เอาประกันภัย เมื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่อีกบุคคลหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า คนขับรถของโจทก์ขับรถมาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์ของผู้อื่นเสียหายและคนตายผู้เสียหายฟ้องให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัย ดังนี้ถือว่าฟ้องของโจทก์ชัดเจนและครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกเงินจากผู้รับประกันภัยแบบค้ำจุนเพื่อจะเอาเงินไปเฉลี่ยให้แก่ผู้เสียหายซึ่งฟ้องเรียกเอาจากผู้เอาประกันภัย นั้น ไม่ใช่เป็นการฟ้องแทนผู้เสียหายจึงไม่ต้องมีการมอบอำนาจให้ฟ้องเพราะผู้เอาประกันมีอำนาจฟ้องตามกรมธรรม์ประกันภัยอยู่แล้ว
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความระบุว่า ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามอันเกิดขึ้นจากการใช้ยานยนต์ที่ระบุในตารางแห่งกรมธรรม์นี้ ย่อมหมายความว่า การที่ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์ไปเกิดเหตุขึ้น และผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามซึ่งรวมถึงความประมาทเลินเล่อของฝ่ายผู้เอาประกันภัยด้วย ดังนี้ ผู้รับประกันภัยย่อมต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่สามในนามของผู้เอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ
กรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้นแล้ว คู่กรณีจะได้แต่งตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้น แต่กรณีนี้ผู้รับประกันภัยมิได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการ และยังบอกปัดปฏิเสธความรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้ผู้เอาประกันภัยย่อมนำคดีมาฟ้องศาลโดยไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบคดีให้พนักงานอัยการฟ้องร้อง ไม่จำต้องมีเอกสารแสดงอำนาจ
ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ความชัดตามฟ้องและชั้นพิจารณาว่า เจ้าทุกข์ผู้เสียหายได้แจ้งความมอบคดีต่อเจ้าพนักงานให้จัดการฟ้องร้องจำเลยได้ ก็เป็นการปฏิบัติชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) แล้ว ไม่จำต้องแสดงต่อศาลถึงเอกสารการมอบอำนาจหรือมอบคดีให้อัยการฟ้องร้อง
of 104