คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิชัยนิตินาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: บุกรุกทำร้ายร่างกาย สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยบุกรุกเข้าไปในร้านของ จ. แล้วทำร้าย ย. ในที่นั้นทันที เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรงต่อการที่จะทำร้าย ย. และการกระทำก็ไม่ขาดตอน ทั้งการที่ทำร้าย ย. นั้นก็เป็นเหตุหนึ่งที่แสดงถึงความที่ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในเคหสถานของ จ. อันเป็นองค์สำคัญของความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อต้องคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานทำร้ายร่างกายไปแล้ว สิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานบุกรุกย่อมระงับไป (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 854/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานสถานทูต: การกระทำถึงขั้นลงมือและเจตนา
การที่จำเลยที่ 1 บุกรุกขึ้นไปบนชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค เข้าไปในห้องรับแขกซึ่งมีทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องตั้งอยู่ และเลยเข้าไปในห้องนั่งเล่นอันเป็นเคหสถานของทูตการค้าเดนมาร์คในเวลาที่ปลอดคนเพื่อจะลักทรัพย์ แต่ภริยาทูตการค้าเห็นจำเลยเป็นการขัดขวางเสียก่อน จำเลยจึงเอาทรัพย์ไปไม่ได้ เช่นนี้ แม้จำเลยจะยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์แต่อย่างใดก็ดี ก็เรียกได้ว่าจำเลยลงมือกระทำเข้าถึงขั้นพยายามลักทรัพย์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานของทูตการค้า ซึ่งอยู่ชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค ส่วนจำเลยที่ 2 คอยดูต้นทางอยู่ชั้นล่างนั้น เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การลักทรัพย์บรรลุผลสำเร็จ เรียกได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการลักทรัพย์รายนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 854/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานสถานทูต: การกระทำถึงขั้นพยายาม แม้ยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์สิน
การที่จำเลยที่ 1 บุกรุกขึ้นไปชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค เข้าไปในห้องรับแขกซึ่งมีทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องตั้งอยู่ และเลยเข้าไปในห้องนั่งเล่นอันเป็นเคหสถานของทูตการค้าเดนมาร์คในเวลาที่ปลอดคนเพื่อจะลักทรัพย์ แต่ภริยาทูตการค้าเห็นจำเลยเป็นการขัดขวางเสียก่อนจำเลยจึงเอาทรัพย์ไปไม่ได้ เช่นนี้ แม้จำเลยจะยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์แต่อย่างใดก็ดี ก็เรียกได้ว่าจำเลยลงมือกระทำเข้าถึงขั้นพยายามลักทรัพย์ตามกฎหมายแล้ว
จำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานของทูตการค้า ซึ่งอยู่ชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค ส่วนจำเลยที่ 2 คอยดูต้นทางอยู่ชั้นล่างนั้น เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การลักทรัพย์บรรลุผลสำเร็จ เรียกได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการลักทรัพย์รายนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้อุบายหลอกลวงของลูกเขยต่อพ่อตาแม่ยาย ไม่ถือเป็นฉ้อโกง
จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหายแล้วพากันมาอยู่บ้านผู้เสียหายได้ 7-8 วัน จำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะไปซื้อข้าวสารมาเก็บไว้กินในฤดูทำนา รุ่งขึ้นจำเลยเอาโคของผู้เสียหายเทียมเกวียนจะไปซื้อข้าวสาร ภริยาผู้เสียหายไปกับจำเลยด้วย เมื่อถึงที่หมายจำเลยปลดโคจากเกวียนแล้วก็แยกไป ต่อมาไม่นานจำเลยกลับมาถามภริยาผู้เสียหายว่า วัวกินน้ำแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวข้าวสารจะมาแล้วภริยาผู้เสียหายว่ายัง จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียพร้อมทั้งมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณโคให้ผู้ซื้อไปด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อให้เห็นความทุจริตของจำเลยตั้งแต่ลอบเอาตั๋วพิมพ์รูปพรรณไปแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายฉันลูกเขยพ่อตาแม่ยาย จำเลยจะเอาโคไปใช้ได้ตามพลการของจำเลยโดยการวิสาสะหาจำต้องขอรับอนุญาตหรือความยินยอมดังเช่นบุคคลอื่นไม่ การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้อุบายหลอกลวงกับบุคคลใกล้ชิด: ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์กับฉ้อโกง
จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหายแล้วพากันมาอยู่บ้านผู้เสียหายได้ 7-8 วัน จำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะไปซื้อข้าวสารมาเก็บไว้กินในฤดูทำนา รุ่งขึ้นจำเลยเอาโคของผู้เสียหายเทียมเกวียนจะไปซื้อข้าวสาร ภริยาผู้เสียหายไปกับจำเลยด้วย เมื่อถึงที่หมายจำเลยปลดโคจากเกวียนแล้วก็แยกไป ต่อมาไม่นานจำเลยกลับมาถามภริยาผู้เสียหายว่า วัวกินน้ำหรือยังประเดี๋ยวข้าวสารจะมาแล้ว ภริยาผู้เสียหายว่ายัง จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียพร้อมทั้งมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณโคให้ผู้ซื้อไปด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อให้เห็นความทุจริตของจำเลยตั้งแต่ลอบเอาตั๋วพิมพ์รูปพรรณไปแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายฉันลูกเขยพ่อตาแม่ยายจำเลยจะเอาโคไปใช้ได้ตามพลการของจำเลยโดยการวิสาสะ หาจำต้องขอรับอนุญาตหรือรับความยินยอมดังเช่นบุคคลอื่นไม่ การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผ่อนเวลาชำระหนี้: ผู้ค้ำประกันไม่หลุดพ้นความรับผิดหากเจ้าหนี้ไม่ได้ตกลงผ่อนเวลา
การที่เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ และการที่ผู้ค้ำประกันเตือนเจ้าหนี้ให้ฟ้องลูกหนี้และเจ้าหนี้ไม่ฟ้อง ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผ่อนเวลาอันจะทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยหลายกระทง, การเพิ่มโทษซ้ำ, และการนับโทษต่อเมื่อคดีเด็ดขาด
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจตามควรแก่เหตุการณ์ที่จะลงโทษเรียงกระทงความผิดหรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ เมื่อความผิดของจำเลยแต่ละกระทงมีโทษหนักเท่ากัน ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยกระทงหนึ่งกระทงใดแต่กระทงเดียวได้ (อ้างฎีกาที่ 167/2507)
จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 ในระหว่างที่ต้องรับโทษอยู่ จำเลยได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 อีก ดังนี้ความผิดฐานปล้นทรัพย์กับความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นความผิดคนละฐาน คนละข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 92 กรณีไม่ใช่กระทำผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกัน จะเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 92 ไม่ได้
โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอีกคดีหนึ่ง แต่คดีนั้นศาลยังมิได้พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลย่อมไม่นับโทษต่อให้ เพราะยังไม่มีโทษที่จะนับต่อให้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คงอุทธรณ์แต่โจทก์ฝ่ายเดียว เฉพาะในเรื่องขอให้เรียงกระทงลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยบางคนกับนับโทษจำเลยต่อจากคดีอีกคดีหนึ่งเท่านั้น ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ดังนี้ จำเลยจะรื้อฟื้นฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่รับฟ้องถึงที่สุด การขาดอายุความอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ในข้อหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานประกอบโรคศิลปะโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต เป็นคำสั่งที่สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ที่ทำให้คดีของโจทก์ในกระทงข้อหานั้นเสร็จไป เมื่อโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้ภายใน 15 วันอุทธรณ์ของโจทก์จึงขาดอายุความอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีและการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดี ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยาน
โจทก์ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำและโจทก์จะติดต่อกับทนายหรือพยานก็ต้องอาศัยญาติเป็นผู้แทน วันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายโจทก์ไปธุระจังหวัดอื่นไม่มีกำหนดกลับ หลักฐานดำเนินคดีอยู่ที่ทนายและยังติดต่อกันไม่ได้ด้วย โจทก์จึงขอเลื่อนคดีไป 2 เดือนเพื่อหาทนายใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนไป 14 วัน วันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 2 ทนายใหม่ติดคดีที่ศาลอื่น จะมาดำเนินคดีให้โจทก์ได้ในวันที่ 1 เดือนต่อไป (อีก 16 วัน) และมีหนังสือของทนายส่งศาลเพื่อเป็นการยืนยันคำแถลงประกอบกับโจทก์ประสงค์จะให้ทนายซักถามพยานให้ดังนี้ เห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีไปด้วยความจำเป็นมีเหตุผลสมควรมิได้ประวิงคดี จึงอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ได้
คดีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานสืบ จึงพิพากษายกฟ้องนั้น คำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดีนี้ ศาลหาได้มีโอกาสฟังคำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้น เช่นนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10 หาได้กำหนดห้ามไว้ไม่ คู่ความจึงอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์มรดกโดยบุตร ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
เรือนพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลย ตามปกติให้คนเช่าโจทก์ (บิดาจำเลย) มิได้อยู่เอง เมื่อมารดาจำเลยตาย จำเลยซึ่งเป็นบุตรก็ถือว่าตนมีส่วนได้รับมรดกด้วย จึงได้ใช้สิทธิเข้าครอบครองเรือนพิพาทที่ว่างอยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิเข้าครอบครองทรัพย์มรดก มิได้มีเจตนาบุกรุกอันจะเป็นความผิดทางอาญา
of 21