คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
การุณย์นราทร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 566 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สภาพปลอกกระสุนปืนและลักษณะการใช้งานที่เปลี่ยนไป ไม่ถือเป็นส่วนประกอบอาวุธปืน
ปลอกกระสุนปืนตามสภาพอาจเป็นเครื่องหรือสิ่งสำหรับอัดหรือทำหรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืนได้ แต่การมีอยู่เพียง 2 ปลอกและได้ความว่ามีไว้ใช้สวมปลายไม้ตะพด ปลอกกระสุนปืนนั้นก็ไม่มีสภาพเป็นเครื่องหรือสิ่งสำหรับอัดหรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืนเสียแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าโดยชอบ แม้ผู้เช่าอยู่ต่างประเทศ โดยผ่านตัวแทน และการแสดงเจตนาถึงผู้เช่า
ผู้เช่าไปต่างประเทศ ได้มอบอำนาจคนอื่นเป็นตัวแทนไว้และผู้ให้เช่ากับตัวแทนได้ติดต่อเรื่องส่งค่าเช่าและไม่ยอมรับเงินธนาณัติค่าเช่ากันได้ตลอดมา ครั้นโจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังสำนักงานเดิมของตัวแทนนั่นเอง แต่กลับหาตัวคนรับไม่ได้ แต่ในระยะเดียวกันตัวแทนกลับส่งธนาณัติค่าเช่ามาให้อีก โดยระบุตำบลที่อยู่เดิมอันแสดงว่าตัวแทนยังอยู่ที่เดิม และเมื่อส่งทางไปรษณีย์ไม่ได้ ผู้ให้เช่ายังเอาคำบอกเลิกไปปิดไว้ ณ ที่เช่าอีก ยังมีผู้ฉีกเอาไปให้พวกพ้องของโจทก์ได้ดูด้วย และเมื่อฝ่ายผู้ให้เช่าเข้าอยู่ในบ้านนั้น ตัวแทนก็ไปแจ้งความหาว่าบุกรุก พฤติการณ์ทั้งนี้เห็นได้ว่าผู้ให้เช่าได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการแสดงเจตนาของฝ่ายผู้ให้เช่าถือว่าไปถึงฝ่ายผู้เช่าแล้ว (อ้างฎีกาที่ 97/2496) สัญญาเช่าย่อมระงับไป
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 41/2505

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่า: การแสดงเจตนาถึงผู้เช่าผ่านตัวแทน แม้ผู้เช่าอยู่ต่างประเทศ และผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ผู้เช่าไปต่างประเทศ ได้มอบอำนาจคนอื่นเป็นตัวแทนไว้และผู้ให้เช่ากับตัวแทนได้ติดต่อเรื่องส่งค่าเช่าและไม่ยอมรับเงินธนาณัติค่าเช่ากันได้ตลอดมา ครั้นผู้ให้เช่าส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังสำนักงานเดิมของตัวแทนนั่นเองแต่กลับหาตัวคนรับไม่ได้ แต่ในระยะเดียวกันตัวแทนกลับส่งธนาณัติค่าเช่ามาให้อีก โดยระบุตำบลที่อยู่เดิมอันแสดงว่าตัวแทนยังอยู่ที่เดิม และเมื่อส่งทางไปรษณีย์ไม่ได้ ผู้ให้เช่ายังเอาคำบอกเลิกไปปิดไว้ ณ ที่เช่า ยังมีผู้ฉีกเอาไปให้พวกพ้องของผู้เช่าได้ดูด้วย และเมื่อฝ่ายผู้ให้เช่าเข้าอยู่ในบ้านเช่านั้นตัวแทนก็ไปแจ้งความหาว่าบุกรุก พฤติการณ์ทั้งนี้เห็นได้ว่า ผู้ให้เช่าได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการแสดงเจตนาของฝ่ายผู้ให้เช่าถือว่าไปถึงฝ่ายผู้เช่าแล้ว(อ้างฎีกาที่ 97/2496) สัญญาเช่าย่อมระงับไป
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 41/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยหลังพิทักษ์ทรัพย์: ยังคงเป็นหนี้ แม้ขอรับชำระในคดีล้มละลายไม่ได้ ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิด
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 100 เป็นบทบังคับกฎหมายพิเศษมิให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้เหมือนคดีแพ่งสามัญ มิใช่บทบังคับกฎหมายทั่วไปว่าในกรณีที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายแล้ว ห้ามมิให้เจ้าหนี้ใช้สิทธิใด ๆ เรียกร้องเอาดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่ฉะนั้นดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ยังคงมีสภาพเป็นหนี้อยู่ แต่จะเรียกร้องกันในคดีแพ่งสามัญได้เพียงไร ต้องพิจารณาตามบทบังคับของกฎหมายทั่วไป
ผู้ค้ำประกันซึ่งทำสัญญาผูกพันตนโดยไม่จำกัดความรับผิดนั้น ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วแทนลูกหนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการใช้บทบัญญัติมาตรา 100 พ.ร.บ.ล้มละลาย: ข้อต่อสู้เฉพาะคดีล้มละลายเท่านั้น
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 100 ซึ่งบัญญัติว่า ดอกเบี้ยหรือเงินค่าป่วยการอื่นแทนดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ไม่ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่จะขอชำระได้นั้น เป็นบทบังคับของกฎหมายพิเศษมิให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้คดีล้มละลายได้เหมือนคดีแพ่งสามัญเท่านั้นหาใช่บทบังคับของกฎหมายทั่วไปว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายแล้ว ห้ามมิให้เจ้าหนี้ใช้สิทธิใดๆ เรียกร้องเอาดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่ กฎหมายมาตรานี้จึงเป็นข้อต่อสู้ที่ลูกหนี้จะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้เฉพาะในคดีล้มละลายเท่านั้น
ฉะนั้น ผู้ค้ำประกันลูกหนี้ดังกล่าวซึ่งทำสัญญาผูกพันตนไว้โดยไม่จำกัดความรับผิด เมื่อตนถูกเจ้าหนี้ฟ้องเป็นคดีแพ่งธรรมดาให้รับผิดแทนลูกหนี้ในดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ จึงไม่อาจยกกฎหมายมาตรานี้ขึ้นต่อสู้เพื่อให้ตนพ้นความรับผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินบริคณห์ถูกยึดชำระหนี้ได้ แม้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังได้ หากเป็นการสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงการยึด
ทรัพย์สินที่จำเลยและผู้ร้องได้มาระหว่างเป็นสามีภรรยาอันเป็นสินบริคณห์นั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์ได้ ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกเสียก่อน
การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีให้การยอมให้โจทก์นำยึดทรัพย์เพื่อใช้หนี้ ต่อมาไม่ถึง 3 เดือน จำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นภรรยามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ผู้ร้องไม่ใช่ภรรยาของจำเลย ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นทรัพย์ที่จัดหาและมีขึ้นด้วยทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ร้อง เช่นนี้ ย่อมเป็นการสมยอมกัน จะต้องกันมิให้ทรัพย์พิพาทถูกยึดมาใช้หนี้โจทก์ ฉะนั้น จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินบริคณห์ เจ้าหนี้มีสิทธิยึดได้ แม้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลัง เพื่อเลี่ยงการยึดทรัพย์
ทรัพย์สินที่จำเลยและผู้ร้องได้มาระหว่างเป็นสามีภริยากันอันเป็นสินบริคณห์นั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์ได้ ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกเสียก่อน
การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีให้การยอมให้โจทก์นำยึดทรัพย์เพื่อใช้หนี้ ต่อมาไม่ถึง 3 เดือน จำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นภริยามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ผู้ร้องไม่ใช่ภริยาของจำเลย ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นทรัพย์ที่จัดหาและมีขึ้นด้วยทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ร้อง เช่นนี้ย่อมเป็นการสมยอมกันจะป้องกันมิให้ทรัพย์พิพาทถูกยึดมาใช้หนี้โจทก์ ฉะนั้น จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมสิ้นสุดลงเมื่อมีการหยุดใช้ทางเป็นระยะเวลานาน และขนาดทางไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์เดิม
ทางซึ่งเคยตกเป็นภาระจำยอมขนาดเกวียนเดินผ่านได้แต่เจ้าของที่ปลูกกั้นไม่ให้เกวียนเดินมาช้านานถึง 15-16 ปี ย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 คงเหลือแต่ภาระจำยอมเฉพาะคนเดินเท่านั้น เมื่อสภาพแห่งภาระจำยอมที่จะใช้เกวียนสิ้นไปแล้ว แม้จะกลับใช้เกวียนใหม่อีกเพียง 3 ปี ก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมกลับมีขึ้นอีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือ 1401
และการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า ภาระจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความนี้เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิ ไม่ใช่อายุความฟ้องคดี ศาลจึงยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยเองได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 193

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมสิ้นสุดลงเมื่อถูกปิดกั้นการใช้ประโยชน์นานเกินกว่า 15 ปี แม้จะกลับมาใช้ประโยชน์อีกก็ไม่ฟื้นคืนสภาพ
ทางซึ่งเคยตกเป็นภารจำยอมขนาดเกวียนเดินผ่านได้ แต่เจ้าของที่ปลูกกั้นไม่ให้เกวียนเดินมาช้านานถึง 15-16ปีย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399คงเหลือแต่ภารจำยอมเฉพาะคนเดินเท่านั้น เมื่อสภาพแห่งภารจำยอมที่จะใช้เกวียนสิ้นไปแล้ว แม้จะกลับใช้เกวียนใหม่อีกเพียง 3 ปี ก็ไม่ทำให้ภารจำยอมกลับมีขึ้นอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือ 1401และการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า ภารจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความนี้ เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิ ไม่ใช่อายุความฟ้องคดี ศาลจึงยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยเองได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 193

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นซื้อขายที่ดินไม่สุจริต และการเรียกร้องค่าเช่าที่ดินจากสัญญาที่ศาลเพิกถอน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท อ้างว่าภริยาโจทก์โอนขายให้จำเลยไปโดยไม่ได้รับความยินยอม คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต พิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินรายพิพาทระหว่างภริยาโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย ดังนี้ ถ้าโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกว่านับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับโอนที่ดินรายพิพาทและห้องแถวไปจากภริยาโจทก์ จำเลยได้เก็บค่าเช่าที่ดินและห้องแถวไปจำนวนหนึ่ง ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวนนั้นแก่โจทก์ ย่อมเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
of 57