พบผลลัพธ์ทั้งหมด 566 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบันทึกรับเงินค่าบริการตามประมวลรัษฎากร: ต้องบันทึกทุกครั้ง แม้เงินมัดจำจะต่ำกว่า 10 บาท
ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 105 ตรี ซึ่งแก้ไขไปโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 44 บัญญัติให้ผู้รับเงินหรือรับชำระราคาครั้งหนึ่งๆ ไม่เกิน 10 บาท ทำบันทึกตามแบบที่อธิบดีกำหนดรวมเงินเป็นวันๆ คือ ถือตามจำนวนเงินที่รับจริงเป็นคราวๆ ไป
จำเลยรับจ้างถ่ายรูป แต่ละครั้งได้ตกลงราคาเกินกว่า 10 บาทแต่เมื่อรับเงินมัดจำไม่ถึง 10 บาทดังนี้จำเลยก็ต้องทำบันทึกกรอกรายการรับเงินทุกครั้งมิใช่รอไว้รวมรับเงินจนครบราคาค่าจ้างถ่ายรูปแล้วจึงออกใบรับปิดอากรแสตมป์ภายหลัง
จำเลยรับจ้างถ่ายรูป แต่ละครั้งได้ตกลงราคาเกินกว่า 10 บาทแต่เมื่อรับเงินมัดจำไม่ถึง 10 บาทดังนี้จำเลยก็ต้องทำบันทึกกรอกรายการรับเงินทุกครั้งมิใช่รอไว้รวมรับเงินจนครบราคาค่าจ้างถ่ายรูปแล้วจึงออกใบรับปิดอากรแสตมป์ภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบันทึกรายรับจากการค้าที่ไม่เกิน 10 บาท ต้องทำเป็นรายครั้ง ไม่รอรวมยอดแล้วค่อยบันทึก
ประมวลรัษฎากร มาตรา 105 ตรี ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2496 มาตรา 44 บัญญัติให้ผู้รับเงินหรือรับชำระราคารวมเงินที่ได้รับทุกครั้งทำบันทึกตามแบบที่อธิบดีกำหนดเป็นวันๆ คือ ถือตามจำนวนเงินที่รับจริงเป็นคราวๆ ไป
ฉะนั้น ที่จำเลยรับจ้างถ่ายรูปแต่ละครั้งได้ตกลงราคาเกินกว่า 10 บาท แม้จะรับเงินมัดจำไม่ถึง 10 บาท จำเลยก็ต้องกรอกรายการรับเงินทุกครั้ง มิใช่รอไว้รวมจนครบจำนวนราคาแล้วจึงออกใบรับปิดอากรแสตมป์ภายหลัง
ประชุมใหญ่ ครั้ง 2/2504
ฉะนั้น ที่จำเลยรับจ้างถ่ายรูปแต่ละครั้งได้ตกลงราคาเกินกว่า 10 บาท แม้จะรับเงินมัดจำไม่ถึง 10 บาท จำเลยก็ต้องกรอกรายการรับเงินทุกครั้ง มิใช่รอไว้รวมจนครบจำนวนราคาแล้วจึงออกใบรับปิดอากรแสตมป์ภายหลัง
ประชุมใหญ่ ครั้ง 2/2504
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์คณะผู้พิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นโมฆะ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นั่งฟังแถลงการณ์ 3 นาย แล้วลงชื่อพิพากษา 2 นาย กับมีผู้พิพากษาที่มีได้นั่งฟังแถลงการณืและมิใช่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ร่วมลงชื่อด้วยอีก 1 นายทำให้คำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชอบที่ศาลฎีกาจะยกเสียและให้พิพากษาใหม่
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2503 และอ้างฎีกาที่ 1205/2473
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2503 และอ้างฎีกาที่ 1205/2473
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากองค์คณะผู้พิพากษาไม่ครบถ้วน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นั่งฟังแถลงการณ์ด้วยวาจา 3 นายแล้วลงชื่อในคำพิพากษา 2 นาย กับมีผู้พิพากษาที่มิได้นั่งฟังแถลงการณ์ด้วยวาจา และมิใช่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ร่วมลงชื่อด้วยอีก 1 นายดังนี้ทำให้คำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ถือหุ้นฟ้องคดีอาญาแทนบริษัทเมื่อกรรมการฉ้อโกง และหลักการฟ้องซ้ำในคดีอาญา
ในกรณีที่กรรมการบริษัทจำกัดฉ้อโกงบริษัท และบริษัทนั้นไม่ยอมดำเนินคดีกับกรรมการที่ฉ้อโกง ผู้ถือหุ้นย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีทางอาญาขอให้ลงโทษกรรมการผู้นั้นได้
เมื่อได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่หาว่าจำเลยได้กระทำขึ้นเกี่ยวกับเงินจำนวนใดแล้ว จะฟ้องจำเลยนี้ในจำนวนเงินเดียวกันนั้นอีก แม้จะอ้างความผิดคนละฐานกับคดีเดิมก็ตาม จะกระทำมิได้ เป็นฟ้องซ้ำเพราะสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปแล้ว
อุทธรณ์บางข้อที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเสียเองได้ ไม่ต้องย้อนสำนวนไป ถ้าเห็นเป็นการสมควร (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2503)
เมื่อได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่หาว่าจำเลยได้กระทำขึ้นเกี่ยวกับเงินจำนวนใดแล้ว จะฟ้องจำเลยนี้ในจำนวนเงินเดียวกันนั้นอีก แม้จะอ้างความผิดคนละฐานกับคดีเดิมก็ตาม จะกระทำมิได้ เป็นฟ้องซ้ำเพราะสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปแล้ว
อุทธรณ์บางข้อที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเสียเองได้ ไม่ต้องย้อนสำนวนไป ถ้าเห็นเป็นการสมควร (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716-1717/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง แม้ลูกจ้างนอกเหนือจากหน้าที่โดยตรง
จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างใช้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนรถให้ขับรถรับหัวหน้าคนงานที่ถนนลาดพร้าวมาปฏิบัติงานที่บริษัทโชคชัย ถนนราชวิถีเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถออกไปแล้ว แล้วได้เอารถไปเอากางเกงที่ตัดไว้ที่ตลาดบางแคเสียก่อน ระหว่างทางไปชนคนตาย 1 คน บาดเจ็บ 1 คน ดังนี้ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดด้วย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 36/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716-1717/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในการขับรถ แม้ลูกจ้างเปลี่ยนเส้นทางไปทำธุระส่วนตัว
จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างใช้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนรถให้ขับรถไปรับหัวหน้าคนงานที่ถนนลาดพร้าวมาปฏิบัติงานที่บริษัทโชคชัย ถนนราชวิถีเมื่อจำเลยที่1 ขับรถออกไปแล้วได้เอารถไปเอากางเกงที่ตัดไว้ที่ตลาดบางแคเสียก่อน ระหว่างทางไปชนคนตาย 1 คนบาดเจ็บ 1 คน ดังนี้ จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดด้วย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 36/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุริมสิทธิผู้ให้เช่า: สังหาริมทรัพย์เข้ามาด้วยความรู้เห็นของผู้เช่าเพียงพอ
บุริมสิทธิของผู้ให้เช่าเรือนโรงเหนือสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 261 วรรคสองนั้นผู้เช่าไม่จำต้องเอาสังหาริมทรัพย์นั้นเข้ามาด้วยตนเองแต่หมายถึงสังหาริมทรัพย์นั้นได้เข้ามาอยู่ในเรือนโรงด้วยความรู้เห็นของผู้เช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุริมสิทธิผู้ให้เช่า: สังหาริมทรัพย์เข้ามาด้วยความรู้เห็นของผู้เช่าเพียงพอ
บุริมสิทธิของผู้ให้เช่า เรือนโรงเหนือสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 261 วรรค 2 นั้น ผู้เช่าไม่จำต้องเอาสังหาริมทรัพย์นั้นเข้ามาด้วยตนเอง แต่หมายถึงสังหาริมทรัพย์นั้นได้เข้ามาอยู่ในเรือนโรงด้วยความรู้เห็นของผู้เช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี ถือเป็นการโทรมหญิงตามกฎหมาย ยอมความไม่ได้
การที่จำเลยทั้ง 2 ผลัดกันจับแขนเด็กหญิงน้อยอายุเพียง 13 ปี 3 เดือน แล้วผลัดกันข่มขืนชำเราข้างทางเดินในเวลากลางวันจนสำเร็จความใคร่คนละครั้ง นั้น เป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 36/2503)