พบผลลัพธ์ทั้งหมด 566 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536-537/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจัดหางาน: สำนักงานส่งเสริมอาชีพเข้าข่ายสำนักงานจัดหางานต้องขออนุญาต
สำนักงานของจำเลยรับจัดหางานให้แก่ผู้มาสมัครเข้ารับการอบรมวิชาชีพโดยรับจะฝากเข้าทำงานในสำนักงาน องค์การหรือห้างร้านบริษัทต่าง ๆ การกระทำเช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่า เป็นคนกลางระหว่างนายจ้างผู้ต้องการลูกจ้างผู้ต้องการหางานทำโดยคนกลางจะทำให้เปล่าหรือคิดสินจ้างก็ตาม หรือแม้จำเลยจะตั้งสำนักงานนี้เพี้ยนไปว่า สำนักงานส่งเสริมอาชีพ ก็ตาม หรือแม้ถึงว่าจำเลยจะอ้างว่าสำนักงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจำกัด สำนักงานนี้ก็คงเป็นสำนักงานจัดหางาน ตามความหมายใน มาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วย สำนักงานจัดหางาน พ.ศ. 2475
จำเลยวางแผนหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงเอาเงินประชาชนทั่ว ๆ ไป โดยพิมพ์ใบปลิวโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพ โดยทุกคนต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยด้วย เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัคร จำเลยก็ให้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลย แล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจลักษณะอย่างใดไม่ จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้น จะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ให้หลงเชื่อ ครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืนให้ การกระทำของจำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
จำเลยวางแผนหลอกลวงเพื่อฉ้อโกงเอาเงินประชาชนทั่ว ๆ ไป โดยพิมพ์ใบปลิวโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จให้ประชาชนหลงเชื่อเพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพ โดยทุกคนต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยด้วย เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัคร จำเลยก็ให้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลย แล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจลักษณะอย่างใดไม่ จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้น จะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ให้หลงเชื่อ ครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืนให้ การกระทำของจำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าและจำหน่ายยาชื่อซ้ำกับเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.เครื่องหมายการค้า
จำเลยได้สั่งยารักษาวรรณโรค ชื่อเดียวกับของโจทก์จากบริษัทผลิตยาในต่างประเทศ ที่ส่งมาให้โจทก์จำหน่าย แม้โจทก์จะได้จดทะเบียนเครื่องหมายไว้แล้วก็ดี จำเลยก็หามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.272, 275 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้ายาชื่อเดียวกันกับที่โจทก์จำหน่าย แม้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า
จำเลยได้สั่งยารักษาวัณโรคชื่อเดียวกับของโจทก์จากบริษัทผลิตยาในต่างประเทศที่ส่งมาให้โจทก์จำหน่ายแม้โจทก์จะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้แล้วก็ดีจำเลยก็หามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272,275 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและขอบเขตแห่งข้อตกลงสัญญาเช่า: การแบ่งแยกฟ้องร้องในมูลเหตุเดียวกันและการแยกแยะข้อตกลงในสัญญา
คดีแรก โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบสถานที่เช่าคืน คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องคดีหลังเรียกค่าเสียหาย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุที่จำเลยไม่ส่งมอบสถานที่เช่าคืน เช่นนี้ คดีหลังต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องได้อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 (1) (คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด)
ส่วนในคดีหลัง ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนในการก่อสร้าง แม้ข้อตกลงข้อนี้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วน ๆ มีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2503)
ส่วนในคดีหลัง ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนในการก่อสร้าง แม้ข้อตกลงข้อนี้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วน ๆ มีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและขอบเขตข้อตกลงในสัญญาเช่า: การแบ่งแยกข้อตกลงและผลกระทบต่อการฟ้องร้อง
คดีแรก โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งมอบสถานที่เช่าคืนคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องคดีหลังเรียกค่าเสียหายอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุที่จำเลยไม่ส่งมอบสถานที่เช่าคืนเช่นนี้ คดีหลังต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องได้อีกตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) (คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด)
ส่วนในคดีหลัง ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนในการก่อสร้างแม้ข้อตกลงข้อนี้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วนๆมีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่4/2503)
ส่วนในคดีหลัง ข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินทุนที่โจทก์ออกทดรองไปก่อนในการก่อสร้างแม้ข้อตกลงข้อนี้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญาฉบับนี้แบ่งแยกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาออกได้เป็นส่วนๆมีลักษณะเป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่4/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อน
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหนทดแทนสูงค่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งความรับผิดในกรณีความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ศาลพิจารณาพฤติการณ์เพื่อกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อน
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนสูงต่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 413/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกค่าหุ้นค้างชำระ: ต้องเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมาย การโอนหุ้นต้องทำตามฟอร์ม
สิทธิของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังค้างชำระจากผู้ถือหุ้นได้นั้น เป็นการให้เรียกร้องมาเป็นสินทรัพย์ของบริษัทผู้ล้มละลาย เพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ทั้งตามส่วน ดังนั้น จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชำระต่อบริษัท ส่วนผู้ที่จะต้องรับผิดเพราะการแสดงออกให้เจ้าหนี้ บางคนหลงเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ถือหุ้นประการใดนั้น เป็นเรื่องของเจ้าหนี้ผู้หลงเข้าใจผิดแต่ละรายไปหาใช่สิทธิของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 413/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย และผลของการโอนหุ้นที่ไม่สมบูรณ์
สิทธิของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังค้างชำระจากผู้ถือหุ้นได้นั้น เป็นการให้เรียกร้องมาเป็นสินทรัพย์ของบริษัทผู้ล้มละลาย เพื่อแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายตามส่วนดังนั้น จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชำระต่อบริษัทส่วนผู้ที่จะต้องรับผิดเพราะการแสดงออกให้เจ้าหนี้บางคนหลงเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ถือหุ้นประการใดนั้นเป็นเรื่องของเจ้าหนี้ผู้หลงเข้าใจผิดแต่ละรายไปหาใช่สิทธิของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความมาศาลไม่ได้ตาม มาตรา 209: การขาดนัดของทนายจำเลยและผลกระทบต่อการพิจารณาคดีใหม่
ข้อวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209อยู่ที่มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณานั้น มาศาลไม่ได้หรือไม่ เท่านั้น
ในวันนัดสืบพยานจำเลยการที่ทนายจำเลยทราบวันและเวลานัดพิจารณาแล้วมิได้มาศาลตามนัด แม้ศาลให้โอกาศรออยู่อีก 1 ชั่วโมงกับ 40 นาที ก็ยังไม่มาศาลเช่นนี้ทนายจำเลยจะอ้างว่าตัวความหรือพยานยังไม่มาพบกับตนจึงยังไม่มาศาลเช่นนี้ เป็นข้ออ้างที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและถ้ายอมให้อ้างกันได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการประวิงคดีได้โดยง่าย เมื่อเป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะมาให้ทันนัดของศาลก็มาได้หากเห็นไม่สำคัญจึงไม่มาเช่นนี้ ไม่ถือว่า 'มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้' ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่
ในวันนัดสืบพยานจำเลยการที่ทนายจำเลยทราบวันและเวลานัดพิจารณาแล้วมิได้มาศาลตามนัด แม้ศาลให้โอกาศรออยู่อีก 1 ชั่วโมงกับ 40 นาที ก็ยังไม่มาศาลเช่นนี้ทนายจำเลยจะอ้างว่าตัวความหรือพยานยังไม่มาพบกับตนจึงยังไม่มาศาลเช่นนี้ เป็นข้ออ้างที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและถ้ายอมให้อ้างกันได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการประวิงคดีได้โดยง่าย เมื่อเป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะมาให้ทันนัดของศาลก็มาได้หากเห็นไม่สำคัญจึงไม่มาเช่นนี้ ไม่ถือว่า 'มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้' ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่