พบผลลัพธ์ทั้งหมด 566 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา: เจตนาในการนำออกใช้เป็นเงินตราจริงหรือไม่
กรณีตาม มาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเรื่องที่กระทำบัตรหรือโลหะธาตุอย่างใดให้มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตราขึ้นเท่านั้น โดยผู้กระทำไม่เจตนาทำปลอมให้เป็นเงินตราเพื่อนำออกลวงใช้เป็นเงินตราที่แท้จริง
ฉะนั้น เมื่อจำเลยเจตนาทำปลอมให้เป็นเงินตรา เพื่อนำออกลวงใช้เป็นเงินตราที่แท้จริง กรณีจึงปรับด้วย มาตรา 249 ไม่ได้ต้องปรับด้วย มาตรา 240
ฉะนั้น เมื่อจำเลยเจตนาทำปลอมให้เป็นเงินตรา เพื่อนำออกลวงใช้เป็นเงินตราที่แท้จริง กรณีจึงปรับด้วย มาตรา 249 ไม่ได้ต้องปรับด้วย มาตรา 240
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาล, การงดการบังคับคดี, และอำนาจศาลในการพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งใดๆ ของศาลล่าง เมื่อไม่มีบทบัญญัติให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดหรือบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาได้แล้วคู่ความย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งนั้นต่อศาลสูงได้เมื่อเป็นกรณีที่อุทธรณ์ได้แล้ว ควรอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยได้ การที่สั่งให้ทุเลาการบังคับหรือให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนนั้น เมื่อมีอุทธรณ์มาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งได้ ไม่ใช่มีผลให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้แล้วคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้แล้วคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาล และอำนาจศาลสั่งงดบังคับคดีระหว่างพิจารณาคดีใหม่
คำสั่งใด ๆ ของศาลล่าง เมื่อไม่มีบทบัญญัติให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดหรือบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาได้แล้ว คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกา คัดค้านคำสั่งนั้นต่อศาลสูงได้ เมื่อเป็นกรณีที่อุทธรณ์ได้แล้ว ควรอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยได้ การที่สั่งให้ทุเลาการบังคับหรือให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนนั้น เมื่อมีอุทธรณ์มาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งได้ ไม่ใช่มีผลให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
ตามป.วิ.พ. มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่ เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน ถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้บังคับคดีไว้ก่อนได้แล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
ตามป.วิ.พ. มาตรา 209 ไม่ได้ตัดอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีในเมื่อมีคำขอให้พิจารณาใหม่ เพราะคำขออาจเป็นความจริงมีเหตุที่ควรให้พิจารณาใหม่ แต่ศาลยังจะต้องฟังพยานของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน ถ้าไม่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้บังคับคดีไว้ก่อนได้แล้ว คำร้องขอให้พิจารณาใหม่อาจไม่มีผล และเสียหายแก่ผู้ขอให้พิจารณาใหม่ได้ จึงย่อมอยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อตกลงนอกสัญญาเช่าไม่ขัด ป.วิ.พ.ม.94 แม้ไม่มีข้อความรับเงินในสัญญาเช่า และการชำระเงินนอกสัญญาไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าเช่าตามหนังสือเช่า จำเลยต่อสู้ว่าเงินที่ชำระไปแล้ว เป็นเงินที่ชำระตามหนังสือสัญญาเช่า ไปแล้ว เป็นเงินที่ชำระตามหนังสือสัญญาเช่า เมื่อในหนังสือสัญญาเช่าไม่มีข้อความว่าได้รับเงินกันตามหนังสือสัญญาก่อนแล้ว โจทก์ย่อมนำสืบแสดงได้ว่า เงินที่จำเลยอ้างว่า ชำระตามหนังสือสัญญาเช่านั้น ความจริงมิใช่เงินที่ชำระตามหนังสือสัญญาเช่า แต่เป็นเงินที่ชำระกันตามข้อตกลงนอกหนังสือสัญญาเช่า การนำสืบดังกล่าวนี้เป็นการนำสืบถึงว่า เงินที่จำเลยเคยชำระให้โจทก์เป็นเงินชำระตามหนังสือสัญญาเช่านี้หรือไม่ มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมหนังสือสัญญาเช่า และมิใช่เป็นการสืบว่าเงินรายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นเงินรายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นเงินที่จำเลยสัญญาจะชำระนอกเหนือไปจากหนังสือสัญญาเช่า การนำสืบของโจทก์ดังนี้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
กรณีเรื่องเช่าทรัพย์ ผู้เช่ากับผู้ให้เช่าอาจชำระเงินต่อกันนอกไปจากหนังสือสัญญาเช่าก็ได้ หรือจะชำระเงินต่อกันโดยไม่ทำหนังสือเช่าก็ได้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ไม่เป็นโมฆะ
กรณีเรื่องเช่าทรัพย์ ผู้เช่ากับผู้ให้เช่าอาจชำระเงินต่อกันนอกไปจากหนังสือสัญญาเช่าก็ได้ หรือจะชำระเงินต่อกันโดยไม่ทำหนังสือเช่าก็ได้ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบหลักฐานการชำระค่าเช่าที่ไม่ตรงกับข้อตกลงในสัญญาเช่า ไม่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าเช่าตามหนังสือสัญญาเช่าจำเลยต่อสู้ว่าเงินที่ชำระไปแล้วเป็นเงินที่ชำระตามหนังสือสัญญาเช่าเมื่อในหนังสือสัญญาเช่าไม่มีข้อความว่าได้รับเงินกันตามหนังสือสัญญาก่อนแล้วโจทก์ย่อมนำสืบแสดงได้ว่าเงินที่จำเลยอ้างว่าชำระตามหนังสือสัญญาเช่านั้นความจริงมิใช่เงินที่ชำระตามหนังสือสัญญาเช่า แต่เป็นเงินที่ชำระกันตามข้อตกลงนอกหนังสือสัญญาเช่า การนำสืบดังกล่าวนี้เป็นการนำสืบถึงว่า เงินที่จำเลยเคยชำระให้โจทก์เป็นเงินชำระตามหนังสือสัญญาเช่านี้หรือไม่ มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมหนังสือสัญญาเช่า และมิใช่เป็นการนำสืบว่าเงินรายที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นเงินที่จำเลยสัญญาจะชำระนอกเหนือไปจากหนังสือสัญญาเช่าการนำสืบของโจทก์ดังนี้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
กรณีเรื่องเช่าทรัพย์ ผู้เช่ากับผู้ให้เช่าอาจชำระเงินต่อกันนอกไปจากหนังสือสัญญาเช่าก็ได้หรือจะชำระเงินต่อกันโดยไม่ทำหนังสือสัญญาเช่าก็ได้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ไม่เป็นโมฆะ
กรณีเรื่องเช่าทรัพย์ ผู้เช่ากับผู้ให้เช่าอาจชำระเงินต่อกันนอกไปจากหนังสือสัญญาเช่าก็ได้หรือจะชำระเงินต่อกันโดยไม่ทำหนังสือสัญญาเช่าก็ได้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญายอมความระงับข้อพิพาทแล้ว ไม่อาจนำข้อพิพาทเดิมมาโต้แย้งได้อีก และศาลไม่บังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายหากไม่มีการขอไว้
ในคดีก่อน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินแปลงพิพาท และจำเลยยอมรับว่า ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนี้ตอนเหนือจนกว่า โจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกัน ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินรายนี้ในคดีหลัง จำเลยจะอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทตอนเหนือโดยปรปักษ์จะได้กรรมสิทธิ์แล้ว และจะขอนำพยานสืบประกอบในข้อนี้หาได้ไม่เพราะข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่า ถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง โดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่า เพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วย ข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา 30,000 บาท นั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่า จำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริง ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลย อนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่า เพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไร โดยทดแทนเงินกันเพียงใด จึงจะสมควรตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่า ถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง โดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่า เพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วย ข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา 30,000 บาท นั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่า จำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริง ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลย อนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่า เพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไร โดยทดแทนเงินกันเพียงใด จึงจะสมควรตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญายอมความระงับข้อพิพาทแล้วย่อมเป็นยุติ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเจตนาในคดีหลัง ศาลไม่อาจบังคับให้ชดใช้เงินตามข้อเสนอ
ในคดีก่อน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของรวมกันในที่ดินแปลงพิพาทและจำเลยยอมรับว่า ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนี้ตอนเหนือจนกว่าโจทก์จำเลยจะได้ทำการแบ่งที่ดินกันศาลพิพากษาตามยอม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินรายนี้ในคดีหลัง จำเลยจะอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทตอนเหนือโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้วและจะขอนำพยานสืบประกอบในข้อนี้หาได้ไม่เพราะข้อพิพาทอันนี้ได้ระงับไปโดยสัญญายอมในคดีก่อนแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่าถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งโดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่าเพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 30,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วยข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา30,000 บาทนั่นเองเมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่าจำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริงก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลยอนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่าเพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไรโดยทดแทนเงินกันเพียงใดจึงจะสมควรตามนัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินและห้องแถว ในคำขอท้ายฟ้องมีว่าถ้าไม่สามารถตกลงแบ่งแยกกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งโดยโจทก์ตีราคาที่ดินและห้องแถวส่วนที่ขอแบ่งมาในฟ้องเป็นเงิน 30,000 บาทจำเลยให้การต่อสู้คดีและจำเลยเสนอมาในคำให้การด้วยว่าเพื่อตัดความยุ่งยาก จำเลยยอมให้เงิน 30,000 บาท แก่โจทก์ เท่าที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องแทนการต้องแบ่งที่รายนี้เมื่อโจทก์ไม่ยอมตกลงด้วยข้อเสนอของจำเลยนี้จึงเท่ากับเสนอขอซื้อที่ส่วนได้ของโจทก์ด้วยราคา30,000 บาทนั่นเองเมื่อโจทก์ไม่ยินยอมด้วยและตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้ชดใช้เงินทำนองนั้นด้วย แม้จะเป็นที่เห็นอยู่ว่าจำเลยอาจต้องเสียหายและเดือดร้อนเพราะการแบ่งแยกก็จริงก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะพึงบังคับให้ได้ตามข้อเสนอของจำเลยอนึ่ง เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นไว้ด้วยว่าเพื่อมิให้เสียหายและเดือดร้อนแก่จำเลยควรแบ่งกันอย่างไรโดยทดแทนเงินกันเพียงใดจึงจะสมควรตามนัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1364 จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดและข้อจำกัดในการรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ตามทางไต่สวนฟังได้ว่า จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้จนกระทั่งสืบพยานโจทก์ไป 2 ปากแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องให้ศาลทราบ เมื่อศาลสอบถาม ฝ่ายจำเลยกลับยืนยันว่าได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง เมื่อไม่มีเหตุพิเศษ ก็ไม่สมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานหลักฐานมาสืบอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา: คำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่สามารถใช้ลงโทษจำเลยได้หากไม่มีพยานเบิกความยืนยัน
ในคดีหาว่าข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ไม่สามารถจะได้ตัวผู้เสียหายและมารดาผู้เสียหายมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนที่ให้การว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และมีพนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบกับมีคำเบิกความของผู้ใหญ่บ้านผู้รับแจ้งความจากมารดาผู้เสียหายว่า จำเลย กับพวกได้ฉุดคร่าผู้เสียหายไป ดังนี้ ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวมาลงโทษจำเลยไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 95 (2) เพราะคำให้การชั้นสอบสวนจะรับฟังเป็นประกอบได้ ก็แต่เพียงว่าผู้เสียหายและมารดาให้การไว้ในชั้นสอบสวนเช่นนั้นจริง แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรแน่ในชั้นศาล โจทก์จะต้องมีพยานมาเบิกความว่า จำเลยได้กระทำผิดจริง เมื่อชั้นศาลโจทก์ไม่มีพยานมาแสดงว่า จำเลยได้ข่มขืนชำเราผู้เสียหาย เช่นนี้ เพียงคำชั้นสอบสวนก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญาและการไม่อยู่ในฐานะคู่ความก่อนมีคำประทับฟ้อง
คดีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการไต่สวนมูลฟ้องและไม่ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปนั้นจำเลยยังมิได้อยู่ในฐานะที่จะฎีกาได้