คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิทักษ์มนูศาสตร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 197 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เตาอบขนมปังไม่ใช่ 'อาคาร' ตามกฎหมายควบคุมการก่อสร้าง การต่อเติมภายในไม่ถือเป็นการปลูกสร้าง
เตาอบขนมปังไม่เป็นอาคารตามความหมายของพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 มาตรา 4 และประกาศรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ 3/2493 จำเลยได้ต่อเติมขยายเตาอบให้ใหญ่ขึ้นภายในห้องของจำเลย ตัวอาคารมิได้กว้างออกไปจากเดิม จึงไม่เป็นการปลูกสร้างอาคารที่จะต้องขออนุญาตตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีไม้หวงห้าม ไม่ต้องระบุวิธีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา หากมีข้อเท็จจริงเพียงพอ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ บรรยายฟ้องว่า ไม้เหียงเป็นไม้หวงห้าม พงศ. 2494 โดยไม่ได้บรรยายว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2494 ได้ประกาศตามความใน มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ดังนี้ ก็ถือว่า เป็นฟ้องสมบูรณ์ลงโทษจำเลยได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องไม้หวงห้าม: การประกาศใช้ พ.ร.ก.ไม้หวงห้ามตามมาตรา 5 พ.ร.บ.ป่าไม้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งขององค์ความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ บรรยายฟ้องว่า ไม้เหียงเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามพ.ศ.2494โดยไม่ได้บรรยายว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.2494 ได้ประกาศตามความในมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ดังนี้ ก็ถือว่าเป็นฟ้องสมบูรณ์ลงโทษจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัทมีหน้าที่ใช้ความระมัดระวัง ปกปิดข้อมูลทำให้บริษัทเสียหาย ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้
โจทก์เป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยและเป็นเจ้าของที่ดินและตึกซึ่งบริษัทจำเลยเช่าอยู่ โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกให้แก่ผู้ซื้อ โดยมีเงื่อนไขเป็นสาระสำคัญว่า โจทก์รับรองจะให้บริษัทจำเลยออกจากตึกและให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองที่ดินและตึกภายใน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ถ้าโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติได้ โจทก์ยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงิน 160,000 บาท โจทก์ได้แจ้งให้บริษัทจำเลยออกจากที่ดินและตึกภายใน 3 เดือน ก่อนครบกำหนด 3 เดือน เพียง 1 วัน โจทก์จึงได้แจ้งให้บริษัทจำเลยทราบว่า ถ้าโจทก์ส่งมอบที่ดินและตึกให้แก่ผู้ซื้อไม่ได้ตามกำหนด โจทก์จะถูกผู้ซื้อเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ถือว่าโจทก์เป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยมีหน้าที่จะต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1167 โจทก์กลับปกปิดความจริงเรื่องที่จะต้องถูกผู้ซื้อที่ดินและตึกเรียกค่าเสียหาย เพิ่งแจ้งให้บริษัททราบต่อเมื่ออีก 1 วันจะต้องถูกผู้ซื้อปรับ การกระทำของโจทก์เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผิดวิสัยบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังจะพึงปฏิบัติ ทำให้บริษัทจำเลยและผู้ถือหุ้นทั้งหลายต้องเสียหาย
โจทก์จะนำผลแห่งความละเมิดของตนมาฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับที่โจทก์ต้องเสียแก่ผู้ซื้อไปและค่าเสียหายอื่น ๆ จากบริษัทจำเลยหาได้ไม่
ค่าสินไหมทดแทนในการที่ผู้เช่าออกจากสถานที่เช่าเนิ่นช้า นั้น ตามธรรมดาควรจะเป็นจำนวนเท่ากับค่าเช่าเป็นรายวัน ส่วนค่าเสียหายอื่นนอกจากนี้ นับว่าเป็นค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งผู้เช่าจะต้องรู้ถึงความเสียหายพิเศษนี้ในระยะเวลาอันสมควรก่อนที่ตกลงไว้ว่าจะออกจากสถานที่เช่า ผู้ให้เช่าจึงเรียกร้องค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษนี้จากผู้เช่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัทละเลยหน้าที่ ปกปิดความเสียหาย ทำให้บริษัทต้องเสียค่าปรับ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทไม่ได้
โจทก์เป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยและเป็นเจ้าของที่ดินและตึกซึ่งบริษัทจำเลยเช่าอยู่ โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกให้แก่ผู้ซื้อ โดยมีเงื่อนไขเป็นสาระสำคัญว่า โจทก์รับรองจะให้บริษัทจำเลยออกจากตึกและให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองที่ดินและตึกภายใน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ถ้าโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติได้ โจทก์ยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงิน 160,000 บาท โจทก์ได้แจ้งให้บริษัทจำเลยออกจากที่ดินและตึกภายใน 3 เดือน ก่อนครบกำหนด 3 เดือนเพียง 1 วันโจทก์จึงได้แจ้งให้บริษัทจำเลยทราบว่า ถ้าโจทก์ส่งมอบที่ดินและตึกให้แก่ผู้ซื้อไม่ได้ตามกำหนด โจทก์จะถูกผู้ซื้อเรียกค่าเสียหายดังนี้ถือว่าโจทก์เป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยมีหน้าที่จะต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1167 โจทก์กลับปกปิดความจริงเรื่องที่จะต้องถูกผู้ซื้อที่ดินและตึกเรียกค่าเสียหาย เพิ่งแจ้งให้บริษัททราบต่อเมื่ออีก 1 วัน จะต้องถูกผู้ซื้อปรับการกระทำของโจทก์เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผิดวิสัยบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังจะพึงปฏิบัติ ทำให้บริษัทจำเลยและผู้ถือหุ้นทั้งหลายต้องเสียหาย โจทก์จะนำผลแห่งความละเมิดของตนมาฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับที่โจทก์ต้องเสียแก่ผู้ซื้อไปและค่าเสียหายอื่นๆ จากบริษัทจำเลยหาได้ไม่
ค่าสินไหมทดแทนในการที่ผู้เช่าออกจากสถานที่เช่าเนิ่นช้า นั้น ตามธรรมดาควรจะเป็นจำนวนเงินเท่ากับค่าเช่าเป็นรายวัน ส่วนค่าเสียหายอื่นนอกจากนี้นับว่าเป็นค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งผู้เช่าจะต้องรู้ถึงความเสียหายพิเศษนี้ในระยะเวลาอันสมควรก่อนที่ตกลงไว้ว่าจะออกจากสถานที่เช่า ผู้ให้เช่าจึงจะเรียกร้องค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษนี้จากผู้เช่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องขับไล่ที่ดินมือเปล่าเกิน 1 ปี และข้ออ้างเป็นที่บ้านที่สวนที่ไม่สมเหตุสมผล
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่ที่ถูกแย่งการครอบครอง คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความครอบครองปรปักษ์ที่ดินมือเปล่า: ฟ้องเกิน 1 ปี ขาดอายุความ
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่ที่ถูกแย่งการครอบครอง คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ตาบอด แม้ไม่มีเจตนาโดยตรง ก็ยังถือเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส
จำเลยต่อยหมายถูกบริเวณหน้าตาผู้เสียหาย เป็นผลให้ตาบอด เช่นนี้จำเลยย่อมมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนตาบอด แม้ไม่มีเจตนา แต่ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมาย
จำเลยต่อยหมายถูกบริเวณหน้าตาผู้เสียหาย เป็นผลให้ตาบอด เช่นนี้ จำเลยย่อมมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีดและการวางแผนร่วมกัน ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการพยายามฆ่า
เหตุที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย ซึ่งโดยสารมาในเรือ เพราะผู้เสียหายได้ถามนายท้ายเรือว่า พวกจำเลยนี้จะไปไหนกัน จำเลยกับพวกคงโกรธเพราะฤทธิ์สุราผสมด้วย จึงสมคบร่วมกันคิดทำร้ายขณะผู้เสียหายไม่ทันรู้ตัว โดยพวกของจำเลยลุกไปนั่งคุมเชิงผู้เสียหายอยู่ข้างหลังก่อน พอเรือแวะจะส่งนักเรียน จำเลยก็แหวกนักเรียนตรงเข้าไปทำร้ายผู้เสียหาย พวกของจำเลยก็เข้าช่วยใช้มีดปลายแหลมยาวคืบกว่าแทงผู้เสียหายซ้ำ 2 ที ถูกที่สำคัญลึกถึงตับและปอด ซึ่งอาจทำให้ตายได้ จนผู้เสียหายล้มลง ก็จะแทงซ้ำอีกแต่มีคนกันไว้ จำเลยกับพวกจึงพากันหลบหนีไปเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาฆ่าให้ตายเมื่อแพทย์ทำการผ่าตัดรักษาไว้ได้ทันท่วงที ่จำเลยก็ย่อมต้องมีความผิดฐานพยายาม ฆ่าคน
of 20