พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินค่าภาษีที่นายจ้างจ่ายแทนลูกจ้าง ไม่เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไปนั้น ไม่ใช่เป็นเงินได้พึงประเมินภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1)(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าจ้างทนายความ: การคิดค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์ของทุนทรัพย์ ไม่ใช่การแบ่งส่วนทรัพย์สิน
สัญญาจ้างว่าความที่ทนายความเรียกค่าจ้างจากลูกความยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องคิดเป็นเงินค่าจ้าง 24,200 บาท นั้น เป็นค่าจ้างที่แน่นอน การที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทุนทรัพย์ เป็นเพียงอาศัยเป็นเกณฑ์คำนวณค่าจ้างว่าความว่าจะเรียกร้องค่าจ้างคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าใดของทุนทรัพย์ที่ฟ้องเท่านั้น หาใช่เป็นสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทที่ลูกความจะพึงได้รับเมื่อชนะคดีไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนฉะนั้น จึงย่อมบังคับกันได้ตามสัญญานั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าจ้างทนายความคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของทุนทรัพย์ ไม่ใช่การแบ่งส่วนทรัพย์สิน
สัญญาจ้างว่าความที่ทนายความเรียกค่าจ้างจากลูกความยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องคิดเป็นเงินค่าจ้าง 24,200 บาทนั้น เป็นค่าจ้างที่แน่นอน การที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทุนทรัพย์ เป็นเพียงอาศัยเป็นเกณฑ์คำนวณค่าจ้างว่าความว่าจะเรียกร้องค่าจ้างคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าใดของทุนทรัพย์ที่ฟ้องเท่านั้น หาใช่เป็นสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทที่ลูกความจะพึงได้รับเมื่อชนะคดีไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ฉะนั้น จึงย่อมบังคับกันได้ตามสัญญานั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและรอการลงโทษ: จำเลยกระทำผิดซ้ำระหว่างรอการลงโทษ และประเด็น 'เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน'
จำเลยต้องคำพิพากษาจำคุกในความผิดฐานเล่นการพนัน แต่ศาลให้รอการลงโทษจำคุกไว้ จำเลยมากระทำผิดฐานเล่นการพนันอีกในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษจำคุก จะเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน(ฉบับที่ 3)พ.ศ.2485 มาตรา 3 ไม่ได้ เพราะเมื่อยังอยู่ในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษ จะเรียกว่าจำเลยพ้นโทษแล้วไม่ได้
ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น หมายความว่า จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา คดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำผิดก่อนคดีที่ศาลจะพิจารณา
ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น หมายความว่า จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา คดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำผิดก่อนคดีที่ศาลจะพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและรอการลงโทษ: โทษจำคุกระหว่างรอการลงโทษคดีก่อนไม่ถือว่าพ้นโทษ และการพิจารณาโทษจำคุกก่อนหน้าเพื่อรอการลงโทษ
จำเลยต้องคำพิพากษาจำคุกในความผิดฐานเล่นการพนัน แต่ศาลให้รอการลงโทษจำคุกไว้ จำเลยมากระทำผิดฐานเล่นการพนันอีกในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษจำคุกจะเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2485 มาตรา 3 ไม่ได้ เพราะเมื่อยังอยู่ในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษจะเรียกว่าจำเลยพ้นโทษแล้วไม่ได้
ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น หมายความว่า จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาคดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำผิดก่อนคดีที่ศาลจะพิพากษา
ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อนนั้น หมายความว่า จำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาคดีที่จำเลยได้รับโทษจำคุกนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำผิดก่อนคดีที่ศาลจะพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ พยานต้องรู้เห็นขณะพิมพ์ หากไม่รู้เห็นและผู้กู้ไม่ยินยอม สัญญาไม่สมบูรณ์
ผู้ที่ลงชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รู้เห็นในการพิมพ์ลายนิ้วมือนั้นจริงๆ ถ้าพยานจะลงลายมือชื่อรับรองในภายหลังได้ก็ต่อเมื่อผู้กู้รู้เห็นและยินยอมด้วย ฉะนั้น ในสัญญากู้ที่พยานมิได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ในขณะที่มีการพิมพ์ลายนิ้วมือและผู้กู้มิได้รู้เห็นยินยอม จึงต้องถือว่าผู้ให้กู้ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 955/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้ยืม ต้องทำพร้อมการพิมพ์ หรือผู้กู้ยินยอม
ผู้ที่ลงชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือผู้กู้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ได้รู้เห็นในการพิมพ์ลายนิ้วมือนั้นจริง ๆ ถ้าพยานจะลงลายมือชื่อรับรองในภายหลังได้ก็ต่อเมื่อผู้กู้รู้เห็นและยินยอมด้วย ฉะนั้น ในสัญญากู้ที่พยานมิได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ในขณะที่มีการพิมพ์ลายนิ้วมือ และผู้กู้มิได้รู้เห็นยินยอม จึงต้องถือว่าผู้ให้กู้ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่10/2507)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่10/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านพยานภายหลังต้องทำในขณะเบิกความ และการแบ่งทรัพย์สินระหว่างวัดกับบุคคลธรรมดา
ถ้าคู่ความฝ่ายที่ต้องนำสืบพยานภายหลังมิได้ถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรคหนึ่ง ต่อมากลับนำพยานของตนมาสืบถึงข้อความดังกล่าวนั้น เช่นนี้ คู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนต้องคัดค้านเสียในขณะที่พยานของฝ่ายนำสืบภายหลังกำลังเบิกความ มิฉะนั้นจะมาคัดค้านภายหลังไม่ได้
ในกรณีที่วัดกับบุคคลอื่นเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกันเมื่อมีเหตุที่จะต้องแบ่งทรัพย์ต่อกัน ศาลก็พิพากษาให้แบ่งทรัพย์นั้นได้ และย่อมพิพากษาถึงวิธีการแบ่งทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ได้ ไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ในกรณีที่วัดกับบุคคลอื่นเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกันเมื่อมีเหตุที่จะต้องแบ่งทรัพย์ต่อกัน ศาลก็พิพากษาให้แบ่งทรัพย์นั้นได้ และย่อมพิพากษาถึงวิธีการแบ่งทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ได้ ไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านพยานภายหลังและการแบ่งทรัพย์สินร่วมระหว่างวัดกับบุคคลธรรมดา
ถ้าคู่ความฝ่ายที่ต้องนำสืบพยานภายหลังมิได้ถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 89 วรรค 1 ต่อมากลับนำพยานของตนมาสืบถึงข้อความดังกล่าวนั้น เช่นนี้ คู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนต้องคัดค้านเสียในขณะที่พยานของฝ่ายนำสืบภายหลังกำลังเบิกความ มิฉะนั้นจะมาคัดค้านภายหลังไม่ได้
ในกรณีที่วัดกับบุคคลอื่นเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกัน เมื่อมีเหตุที่จะต้องแบ่งทรัพย์ต่อกัน ศาลก็พิพากษาให้แบ่งทรัพย์นั้นได้ และย่อมพิพากษาถึงวิธีการแบ่งทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ได้ ไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ในกรณีที่วัดกับบุคคลอื่นเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกัน เมื่อมีเหตุที่จะต้องแบ่งทรัพย์ต่อกัน ศาลก็พิพากษาให้แบ่งทรัพย์นั้นได้ และย่อมพิพากษาถึงวิธีการแบ่งทรัพย์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ได้ ไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามใบอนุญาต ป.3 และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
ใบอนุญาตแบบ ป.3 กำหนดให้ผู้รับอนุญาตซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนจากผู้ที่ระบุไว้หากไปซื้อจากผู้อื่น ก็ย่อมเป็นการซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉะนั้น เมื่อในใบอนุญาตแบบ ป.3 นี้ กำหนดให้ซื้อจากร้านจำหน่ายอาวุธปืน จำเลยไม่ใช่ผู้ตั้งร้านจำหน่ายอาวุธปืนได้ขายอาวุธปืนให้จึงเป็นการโอนอาวุธให้แก่ผู้มิได้รับอนุญาตตามความในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯแต่ไม่ผิดตามมาตรา 34 เพราะมาตรา 34 เป็นบทบัญญัติอยู่ในส่วนที่ 2 ว่าด้วยอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า และเป็นบทห้ามมิให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ทำการค้าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จำหน่ายอาวุธปืนและกระสุนปืนให้แก่ผู้ที่มิได้รับอนุญาต