พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์สุราของโรงแรม: การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อทรัพย์สินยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของ
การที่จำเลยเป็นลูกจ้างในโรงแรมแห่งหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นพนักงานขายสุรานั้น สุราที่จำเลยไปเบิกมาขายยังอยู่ในความครอบครองของโรงแรม ฉะนั้น เมื่อจำเลยร่วมกันเอาสุรานั้นไปเป็นของตน โดยมีเจตนาทุจริต เช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาแจ้งความจำนงเช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ มิใช่อายุความ จึงไม่อาจขยายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ
กำหนดระยะเวลา 30 วัน ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ที่ให้แจ้งความจำนงขอเช่าต่อนั้น ไม่ใช่อายุความอันจะยกมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับเพื่อขยายระยะเวลาออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คลงวันที่ล่วงหน้า ธนาคารซื้อแม้เงินในบัญชีจำเลยมีน้อย ไม่ถือเป็นการร่วมกระทำผิด
จำเลยเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินไว้ล่วงหน้า 1 เดือน โดยมีเงินในบัญชีเพียงเล็กน้อย ผู้ทรงนำไปขายให้แก่ธนาคารที่ถูกสั่งให้จ่ายเงินธนาคารรู้ว่าในขณะนั้นจำเลยมีเงินไม่พอแต่คงยอมรับซื้อไว้ ต่อมาถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค ธนาคารนำเช็คนั้นเข้าบัญชีแต่ธนาคารก็ปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน เพราะในบัญชีของจำเลยมีเงินไม่พอ ดังนี้ ธนาคารย่อมเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ให้ว่ากล่าวเป็นคดีได้ จะอ้างว่าธนาคารได้ร่วมรู้เห็นเป็นใจกระทำผิดกับจำเลยด้วยหาได้ไม่ เพราะในระยะ 1 เดือนก่อนถึงกำหนดนั้น จำเลยอาจนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยให้พอจ่ายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกที่ได้รับระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินเป็นของฝ่ายที่ได้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว
การที่โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยแต่มิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายนั้น ทรัพย์ที่โจทก์ได้รับมรดกมาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกับจำเลย เพราะการที่โจทก์ได้รับมรดกทรัพย์นั้นมาย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่โจทก์และจำเลยร่วมกันหามา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกที่ได้ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่เป็นทรัพย์สินร่วมกัน
การที่โจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย แต่มิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายนั้น ทรัพย์ที่โจทก์ได้รับมรดกมาในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกับโจทก์ เพราะการที่โจทก์ได้รับมรดกทรัพย์นั้นมาย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่โจทก์และจำเลยร่วมกันหามา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินพิพาท: ศาลต้องวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ก่อนตัดสินคดีขับไล่ หากกรรมสิทธิ์ไม่ชัดเจน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
(1) เมื่อปรากฏว่าจำเลยเดิมให้การว่า เรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมก็อ้างว่าเป็นของตน การสร้างก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ดังนี้ ย่อมไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม อนึ่งเมื่อจำเลยเดิมให้การว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ และจำเลยร่วมก็อ้างอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม (2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้ โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นการละเมิดก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย (3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่า โรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1)(2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินพิพาทและการฟ้องขับไล่: จำเลยมีสิทธิอ้างความเป็นเจ้าของทรัพย์เพื่อต่อสู้คดีได้
(1) เมื่อปรากฎว่าจำเลยเดิมให้การว่าเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมก็อ้างว่าเป็นของตน การสร้างก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ดังนี้ ย่อมไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม อนึ่งเมื่อจำเลยเดิมให้การว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ และจำเลยร่วมก็อ้างอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม
(2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นละเมิด ก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย
(3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่าโรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1) (2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
(2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นละเมิด ก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย
(3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่าโรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1) (2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมโดยอายุความ: จำเลยปิดกั้นคูระบายน้ำที่โจทก์ใช้ต่อเนื่องกว่า 10 ปีไม่ได้
เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่มาแบ่งแยกภายหลัง มีคูระบายน้ำ และใช้ระบายน้ำโสโครกผ่านที่ดินในส่วนที่ยกมาเป็นของจำเลยมาตั้งแต่เจ้าของเดิม เมื่อที่ดินตกมาเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ใช้คูระบายน้ำโสโครกต่อมาอีกกว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในภาระจำยอมโดยอายุความเหนือที่ดินจำเลย ๆ จะปิดคูระบายน้ำเสียไม่ได้
ข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 แต่ไม่ขอสืบพยานนั้นศาลไม่รับฟัง
ข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 แต่ไม่ขอสืบพยานนั้นศาลไม่รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในภารจำยอมโดยอายุความและการปิดกั้นทางระบายน้ำ
เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่มาแบ่งแยกภายหลัง มีคูระบายน้ำและใช้ระบายน้ำโสโครกผ่านที่ดินในส่วนที่ตกมาเป็นของจำเลยตั้งแต่เจ้าของเดิม เมื่อที่ดินตกมาเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ใช้คูระบายน้ำโสโครกต่อมาอีกกว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ โจทก์ย่อมได้สิทธิในภาระจำยอมโดยอายุความเหนือที่ดินจำเลย จำเลยจะปิดคูระบายน้ำเสียไม่ได้
ข้อต่อสู้ของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 แต่ไม่ขอสืบพยานนั้น ศาลไม่รับฟัง
ข้อต่อสู้ของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 แต่ไม่ขอสืบพยานนั้น ศาลไม่รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประท้วงการกระทำของเจ้าพนักงานไม่ถึงขั้นดูหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136
การที่จำเลยนั่งอยู่ในรถยนต์ เจ้าพนักงานไปเรียกจำเลยให้ลงจากรถยนต์เพื่อจับกุมในข้อหาสมคบกับพวกลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยจึงพูดว่า"เป็นเจ้าพนักงานสิเอาอำนาจหยังมาไซ่รุนแรงเกินไปแบบนี้" เป็นคำกล่าวประท้วงการกระทำของเจ้าพนักงานโดยมีเหตุผลไม่เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา136
ฟ้องว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นเจ้าพนักงานว่า "เป็นเจ้าพนักงานสิเอาอำนาจหยังมาไซ่รุนแรงเกินไปแบบนี้" ซึ่งมีความหมายว่าเจ้าพนักงานใช้อำนาจรุนแรงต่อจำเลยนั้น โจทก์จะนำสืบความหมายนอกเหนือไปจากที่กล่าวในฟ้องไม่ได้
ฟ้องว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นเจ้าพนักงานว่า "เป็นเจ้าพนักงานสิเอาอำนาจหยังมาไซ่รุนแรงเกินไปแบบนี้" ซึ่งมีความหมายว่าเจ้าพนักงานใช้อำนาจรุนแรงต่อจำเลยนั้น โจทก์จะนำสืบความหมายนอกเหนือไปจากที่กล่าวในฟ้องไม่ได้