คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สอาด นาวีเจริญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,016 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินก่อนมีประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ถือเป็นการบุกรุก
จำเลยได้เข้าครอบครองทำนาตั้งแต่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน และจำเลยมีสิทธิครอบครองอยู่ตลอดมา ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ระบุว่า ที่ดินของรัฐนั้น ถ้ามิได้มีสิทธิครอบครอง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครอง เมื่อจำเลยมีสิทธิครอบครองอยู่ดังว่าแล้ว ก็ไม่ต้องห้ามมาตรา 9 จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออายัดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษาหลังคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจดำเนินการได้
เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้ว ก่อนมีคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งอายัดหรือให้ระงับการโอนที่ดิน ของจำเลยไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 254, 255, 257 ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องและมีคำพิพากษาในคดีถึงที่สุด ดังนี้ ศาลฎีกาไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาว่า ด้วยวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออายัดทรัพย์หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่อาจดำเนินการได้
เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้ว ก่อนมีคำพิพากษา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งอายัดหรือให้ระงับการโอนที่ดินของจำเลยไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254,255,257 ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องและมีคำพิพากษาในคดีถึงที่สุด ดังนี้ ศาลฎีกาก็ไม่อาจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาว่าด้วยวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฉ้อโกง: การสะดุดหยุดของอายุความเมื่อมีการอุทธรณ์ และการนับอายุความใหม่เมื่อถอนอุทธรณ์
จำเลยทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2492 และถูกฟ้องที่ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2492 ให้ยกฟ้อง อ้างว่าคดีเกินอำนาจศาลแขวง จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ได้ โจทก์และจำเลยได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2493 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2498 จากวันที่ 16 ตุลาคม 2493 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 ยังไม่ล่วงพ้นกำหนด5 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะระหว่างที่จำเลยยังอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้อยู่นั้น ต้องถือว่าคดีที่จำเลยถูกฟ้องนี้ ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 79 ถือว่าอายุความยังสะดุดหยุดอยู่ตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยได้ฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ คือ วันที่ 16 ตุลาคม 2493 ที่อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่17/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฉ้อโกง: การอุทธรณ์คดีทำให้ระยะเวลาอายุความสะดุดหยุดลงจนกว่าจะมีคำสั่งศาลอุทธรณ์
จำเลยทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2492 และถูกฟ้องที่ศาลแขวง พระนครใต้ ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2492 ให้ยกฟ้อง อ้างว่าคดีเกินอำนาจศาลแขวง จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งอนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ได้ โจทก์ และจำเลยได้ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2493 โจทก์ยืนฟ้องจำเลย ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 จากวันที่ 16 ตุลาคม 2493 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 ยังไม่ล่วงพ้น กำหนด 5 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะระหว่างก็ที่จำเลย ยังอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้อยู่นั้น ต้องถือว่าคดีมีจำเลยถูกฟ้องนี้ ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 79 ถือว่าอายุความยังสดุดหยุดอยู่ตลอดมาจนถึงวันที่ จำเลยได้ฟังคำสั่ง ของศาลอุทธรณ์ คือวันที่ 16 ตุลาคม 2493 ที่อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการจับกุมของสารวัตรกำนัน และความผิดต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน
สารวัตรกำนันเป็นผู้ช่วยกำนัน เมื่อกำนันมีหน้าที่และอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิด สารวัตรกำนันก็ย่อมช่วยกำนันทำการจับกุมผู้กระทำความผิดได้ และการช่วยทำการจับกุมผู้กระทำผิดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้กำนันเรียกร้องให้ช่วยหรือต้องมีตัวกำนันอยู่ด้วย เพราะกฎหมายให้มีหน้าที่ช่วยกำนันอยู่ในตัวเป็นปกติแล้ว เมื่อจำเลยต่อสู้และทำร้ายสารวัตรกำนันในการจับกุมจำเลยและควบคุมจำเลยส่งพนักงานสอบสวน ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยต่อสู้ผู้ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และทำร้ายผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตามมาตรา 289 อันเป็นความผิดตามมาตรา 296

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสารวัตรกำนันในการจับกุมและการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
สารวัตกำนันเป็นผู้ช่วยกำนัน เมื่อกำนันมีหน้าที่และอำนาจจับกุมผู้กระทำผิด สารวัตรกำนันก็ย่อมช่วยกำนันทำการจับกุมผู้กระทำผิดนี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้กำนันเรียกร้องให้ช่วยหรือต้องมีตัวกำนันอยู่ด้วย เพราะกฎหมายให้มีหน้าที่ช่วยกำนันอยู่ในตัวเป็นปกติแล้ว เมื่อจำเลยต่อสู้และทำร้ายสารวัตรกำนันในการจับกุมจำเลยและควบคุมจำเลยส่งพนักงานสอบสวน ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยต่อสู้ผู้ต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และทำร้ายผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตาม มาตรา 289 อันเป็นความผิดตามมาตรา 296

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการฟ้องซ้ำที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้และศาลพิพากษาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จริงดังฟ้อง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ตามฟ้อง คดีหลังจำเลยมาฟ้องขอให้เลิกถอนหนังสือสัญญากู้และคำพิพากษาดดังกล่าว โดยอ้างว่าสัญญากู้นั้นปลอม คำฟ้องในคดีหลังเท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ได้กู้เงินของจำเลยดังที่จำเลยในคดีหลังฟ้องโจทก์ในคดีก่อนนั่นเอง คดีก่อนและคดีหลังจึงมีประเด็นข้อใหญ่อย่างเดียวกัน ว่าโจทก์นี้ได้กู้เงินจำเลยไปจริงตามหนังสือสัญญากู้ในคดีก่อนหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อนแล้ว ฉะนั้นฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นการฟ้องร้องในประเด็นที่ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อน ต้องตามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 แม้ในคดีหลังโจทก์จะกล่าวอ้างไม่ได้กู้เงินจากจำเลยเพราะเหตุอื่นใด ก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดของประเด็นข้อใหญ่ที่กล่าวแล้ว จึงไม่ทำให้โจทก์นำคดีมาฟ้องร้องใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว ถือเป็นการฟ้องที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้และศาลพิพากษาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จริงดังฟ้อง. พิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ตามฟ้องคดีหลังจำเลยมาฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญากู้และคำพิพากษาดังกล่าวโดยอ้างว่าสัญญากู้นั้นปลอมคำฟ้องในคดีหลังเท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ได้กู้เงินของจำเลยดังที่จำเลยในคดีหลังฟ้องโจทก์ในคดีก่อนนั่นเอง คดีก่อนและคดีหลังจึงมีประเด็นข้อใหญ่อย่างเดียวกันว่าโจทก์นี้ได้กู้เงินจำเลยไปจริงตามหนังสือสัญญากู้ในคดีก่อนหรือไม่ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้ในคดีก่อนแล้วฉะนั้น ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นการฟ้องร้องในประเด็นที่ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อน ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 แม้ในคดีหลังโจทก์จะกล่าวอ้างว่าไม่ได้กู้เงินจากจำเลยเพราะเหตุอื่นใดก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดของประเด็นข้อใหญ่ที่กล่าวแล้วจึงไม่ทำให้โจทก์นำคดีมาฟ้องร้องใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของร่วมในการฟ้องแย่งคืนที่ดิน กรณีถูกรบกวนสิทธิ
โจทก์กับพวกร่วมกันยึดถือที่ดินเป็นเจ้าของ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่งย่อมฟ้องผู้ที่เข้ามารบกวนหรือแย่งที่ดินที่โจทก์กับพวกถือสิทธิเป็นเจ้าของนั้นได้
of 102