พบผลลัพธ์ทั้งหมด 322 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1301/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การยกฟ้องคดีอาญาเนื่องจากไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ไม่ถือเป็นคดีที่ตัดสินแล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องใหม่ได้
คดีก่อนศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในฟ้องนั้น เป็นกรณีที่ศาลยังไม่ได้พิจารณาเรื่องที่โจทก์ฟ้องเลย จึงถือไม่ได้ว่าศาลได้พิพากษาในความผิดที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 24/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยทหารและการพิจารณาคดีต่อเนื่องเมื่อจำเลยรับทราบแล้ว
อัยการจังหวัดสกลนครโจทก์ ยื่นฟ้องอุทธรณ์แล้วขอให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่จังหวัดทหารบกอุดรธานี โดยแถลงว่าจำเลยเข้ารับราชการทหาร เป็นทหารประจำการอยู่ที่นั่น ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดรจนล่วงเลยเวลามานานแล้ว ไม่ได้รับตอบศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ ๆ ว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยอยู่ในอำนาจของทหาร เช่นนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้รับตอบจากจังหวัดทหารบก จะถือว่าเป็นกรณีหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับอุทธรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ยังไม่ถนัด เพราะเรื่องเช่นนี้โจทก์ควรจะได้พยานยามติดต่อกับทางทหารให้ได้ความชัดเจนว่าส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเป็นทางราชการด้วยกัน
ศาลอุทธรณ์ สั่งจำหน่ายคดี เพราะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้ เมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะต้องไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไปไม่ใช่ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ สั่งจำหน่ายคดี เพราะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้ เมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะต้องไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไปไม่ใช่ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่เป็นทหารและการพิจารณาคดีต่อเมื่อจำเลยรับทราบแล้ว
อัยการจังหวัดสกลนครโจทก์ ยื่นฟ้องอุทธรณ์แล้วขอให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่จังหวัดทหารบกอุดรธานี โดยแถลงว่าจำเลยเข้ารับราชการทหารเป็นทหารประจำการอยู่ที่นั่น ศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดรจนล่วงเลยเวลามานานแล้วไม่ได้รับตอบ ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ๆ ว่าไม่สามารถส่งสำเนาอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยอยู่ในอำนาจของทหาร เช่นนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้รับตอบจากจังหวัดทหารบก จะถือว่าเป็นกรณีหาตัวจำเลยไม่พบหรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับอุทธรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ยังไม่ถนัดเพราะเรื่องเช่นนี้โจทก์ควรจะได้พยายามติดต่อกับทางทหารให้ได้ความชัดเจนว่า ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยได้หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นทางราชการด้วยกัน
ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี เพราะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้ เมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะต้องไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป ไม่ใช่ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี เพราะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้ เมื่อปรากฏต่อมาว่า จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะต้องไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป ไม่ใช่ฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเฉลี่ยทรัพย์จากบังคับคดีข้ามศาล: เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 10 และการพิจารณาคำร้อง
โจทก์กับผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาของจำเลยแต่ต่างศาลกัน โจทก์ฟ้องและชนะคดีที่ศาลจังหวัดอุดรธานี แล้วบังคับคดียึดทรัพย์ จำเลยซึ่งมีอยู่ในเขตศาลจังหวัดราชบุรี ผู้ร้องฟ้องและชนะคดีที่ศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อปรากฏว่าศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี เมื่อวันสุดท้ายแห่งการขอเฉลี่ยตามสำนวนที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ปรากฏว่า จากวันฟ้องถึงวันที่ศาลพิพากษาก็เป็นเวลาสองเดือน กับสองวัน เมื่อศาลพิพากษาแล้ว ผู้ร้องไม่มีเวลาพอที่จะไปยื่นคำร้องที่ศาลจังหวัดอุดรธานี ดังนี้ ผู้ร้องก็ชอบก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอเฉลี่ย ต่อศาลจังหวัดราชบุรีในกรณีเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 10 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลสั่งยกคำร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งให้รับคำร้องขอเฉลี่ยไว้พิจารณาต่อไป นั้น กรณียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ซึ่งผู้ร้องยังโต้แย้งคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ยอมรับคำร้องของผู้ร้องยังหาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเฉลี่ย โดยเหตุที่ยื่นไม่ทันกำหนดแต่ประการใดไม่ เรื่องจึงยังไม่ต้องด้วยมาตรา 291 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติให้ขอจากเงินเหลือจ่าย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลสั่งยกคำร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งให้รับคำร้องขอเฉลี่ยไว้พิจารณาต่อไป นั้น กรณียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ซึ่งผู้ร้องยังโต้แย้งคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ยอมรับคำร้องของผู้ร้องยังหาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเฉลี่ย โดยเหตุที่ยื่นไม่ทันกำหนดแต่ประการใดไม่ เรื่องจึงยังไม่ต้องด้วยมาตรา 291 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติให้ขอจากเงินเหลือจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเฉลี่ยทรัพย์จากบังคับคดี: เหตุสุดวิสัยและการยื่นคำร้องต่อศาลที่เหมาะสม
โจทก์กับผู้ร้องต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยแต่ต่างศาลกัน โจทก์ฟ้องและชนะคดีที่ศาลจังหวัดอุดรธานีแล้วบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยซึ่งมีอยู่ในเขตศาลจังหวัดราชบุรี ผู้ร้องฟ้องและชนะคดีที่ศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อปรากฏว่าศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีเมื่อวันสุดท้ายแห่งการขอเฉลี่ยตามสำนวนที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ ปรากฏว่า จากวันฟ้องถึงวันที่ศาลพิพากษาก็เป็นเวลาสองเดือนกับสองวัน เมื่อศาลพิพากษาแล้ว ผู้ร้องไม่มีเวลาพอที่จะไปยื่นคำร้องที่ศาลจังหวัดอุดรธานี ดังนี้ ผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอเฉลี่ยต่อศาลจังหวัดราชบุรีในกรณีเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 10 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลสั่งยกคำร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งให้รับคำร้องขอเฉลี่ยไว้พิจารณาต่อไปนั้น กรณียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ซึ่งผู้ร้องยังโต้แย้งคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ยอมรับคำร้องของผู้ร้อง ยังหาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเฉลี่ย โดยเหตุที่ยื่นไม่ทันกำหนดแต่ประการใดไม่ เรื่องจึงยังไม่ต้องด้วยมาตรา291 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติให้ขอจากเงินเหลือจ่าย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลสั่งยกคำร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นสั่งให้รับคำร้องขอเฉลี่ยไว้พิจารณาต่อไปนั้น กรณียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ซึ่งผู้ร้องยังโต้แย้งคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ยอมรับคำร้องของผู้ร้อง ยังหาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเฉลี่ย โดยเหตุที่ยื่นไม่ทันกำหนดแต่ประการใดไม่ เรื่องจึงยังไม่ต้องด้วยมาตรา291 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติให้ขอจากเงินเหลือจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดที่พิพาทโดยอ้างสภาพที่ดินเป็นพยานย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย
โจทก์จำเลยตกลงกันขอให้ศาลไปดูสภาพของที่พิพาท แล้วให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด ที่พิพาทจะเป็นของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งหมดหรือบางส่วน ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร โดยไม่ต้องคำนึงถึง คำพยานที่สืบมาแล้ว และจะยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวของศาลเป็นยุติ ข้อตกลงเช่นนี้ เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดา โดยอ้างวัตถุพยาน คือ ที่พิพาทเป็นพยานร่วมนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวนี้ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะเป็นคดีส่วนแพ่ง เป็นเรื่องที่คู่ความจะตกลงกันเช่นนี้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้าม ตามที่ตกลงกันไว้ นั้นเท่ากับ เป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ถือ เอาคำขอและคำต่อสู้คดีในรูปเดิม แต่ขอให้ศาลไปตรวจที่พิพาทแล้ว พิพากษาชี้ขาดได้ตลอดจนได้ยอมให้ศาลแบ่งที่ดินนายพิพาทได้ด้วย คือ จะแบ่งเท่ากันหรือไม่เท่ากันหรือใช้แก่ฝ่ายใดทั้งหมดก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร เมื่อศาลได้ไปตรวจสภาพของที่พิพาทตามข้อตกลง ไม่พบแนวเจตที่จะถือเป็นหลักในการแบ่ง ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์จำเลยคนละครึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้ศาลชี้ขาดแบ่งที่พิพาทโดยตรง ถือเป็นสืบพยานธรรมดาและผูกพันคู่ความ
โจทก์จำเลยตกลงกันขอให้ศาลไปดูสภาพของที่พิพาท แล้วให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดแบ่งที่พิพาทว่าจะเป็นของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร โดยไม่ต้องคำนึงถึงคำพยานที่สืบมาแล้วและจะยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวของศาลเป็นยุติข้อตกลงเช่นนี้เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดา โดยอ้างวัตถุพยานคือ ที่พิพาทเป็นพยานร่วมนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวนี้ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะเป็นคดีส่วนแพ่ง เป็นเรื่องที่คู่ความจะตกลงกันเช่นนี้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้าม ตามที่ตกลงกันไว้นั้นเท่ากับเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ถือเอาคำขอและคำต่อสู้คดีในรูปเดิม แต่ขอให้ศาลไปตรวจที่พิพาทแล้วพิพากษาชี้ขาดได้ตลอดจนได้ยอมให้ศาลแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ด้วย คือ จะแบ่งเท่ากันหรือไม่เท่ากัน หรือให้แก่ฝ่ายใดทั้งหมดก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร เมื่อศาลได้ไปตรวจสภาพของที่พิพาทตามข้อตกลง ไม่พบแนวเขตที่จะถือเป็นหลักในการแบ่ง ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์จำเลยคนละครึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนการสืบพยานเนื่องจากทนายจำเลยลาออกและจำเลยตั้งทนายใหม่ ศาลพิจารณาถึงความซับซ้อนของคดีและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายก่อนวัดนัดสืบพยานจำเลยเพียง 6 วันและจำเลยตั้งทนายใหม่ก่อนวันสืบพยานเพียง 2 คน และจำเลยยื่นคำร้อง ขอเลื่อนการพิจารณา เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่า จำเลยจงใจแกล้งประวิงคดีให้ล่าช้า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลสมควรอนุญาตให้จำเลยเลื่อนการสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนการพิจารณาคดีเนื่องจากทนายจำเลยลาออกและจำเลยต้องตั้งทนายใหม่ ศาลต้องคำนึงถึงความยุติธรรมและสิทธิในการป้องกันตัวของจำเลย
ทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายก่อนวันนัดสืบพยานจำเลยเพียง 6 วัน และจำเลยตั้งทนายใหม่ก่อนวันสืบพยานเพียง2 วัน และจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณา เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่า จำเลยจงใจแกล้งประวิงคดีให้ล่าช้า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลสมควรอนุญาตให้จำเลยเลื่อนการสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแซงรถที่จอดนิ่งไม่ผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 11 หากไม่ใช่การแซงรถที่กำลังวิ่ง
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 11 มีความมุ่งหมายที่จะห้ามขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ซึ่งกำลังแล่นอยู่ตรงที่ที่ไม่ปลอดภัยดังที่ระบุไว้คือ ตรงทางร่วม ทางแยกหัวเลี้ยว ฯลฯ คำว่า เดินรถขึ้นหน้ารถคันอื่น ในมาตรานี้หมายความว่า ขับรถแซงขึ้นหน้ารถที่กำลังแล่นอยู่ด้วย
การที่จำเลยขับรถหลีกผ่านรถบันทุกดินที่ จอดนิ่งอยู่ขึ้นไปนั้น ไม่เป็นการต้องห้าม ตาม มาตรา 11 นี้ (ฎีกาที่ 1988/2497 ก็วินิจฉัยว่า มาตรา 11 พระราชบัญญัติจราจรทางบก นั้น หมายความถึงการแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นที่กำลังแล่นอยู่ มิใช่แล่นหลีกรถที่จอดอยู่ขึ้นไป)
การที่จำเลยขับรถหลีกผ่านรถบันทุกดินที่ จอดนิ่งอยู่ขึ้นไปนั้น ไม่เป็นการต้องห้าม ตาม มาตรา 11 นี้ (ฎีกาที่ 1988/2497 ก็วินิจฉัยว่า มาตรา 11 พระราชบัญญัติจราจรทางบก นั้น หมายความถึงการแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นที่กำลังแล่นอยู่ มิใช่แล่นหลีกรถที่จอดอยู่ขึ้นไป)