คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประจักษ์ศุภอรรถ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 184 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำนันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยผู้ต้องหาหลังรับเงิน ถือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
กำนันจับผู้ต้องหาเรื่องลักทรัพย์และได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป ไม่นำส่งต่อพนักงานสอบสวน โดยได้รับเงินจากผู้ต้องหาทั้ง 2 คนละ 250 บาท ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยงดเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่อันเป็นการมิชอบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดตาม มาตรา 149
การกระทำที่จะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยใช้อำนาจโดยมิชอบ และใช้อำนาจข่มขืนใจให้เขามอบให้หรือหาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิใช่เรื่องเรียก ฯลฯ ทรัพย์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งเป็นการตอบแทน เช่น จำเลย แกล้งจับเขามาข่มขู่ขืนใจ เรียกเอาเงินทองเขาโดยไม่ปรากฏว่าเกิดการกระทำผิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำนันรับสินบนปล่อยผู้ต้องหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
กำนันจับผู้ต้องหาเรื่องลักทรัพย์และได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป ไม่นำส่งต่อพนักงานสอบสวน โดยได้รับเงินจากผู้ต้องหาทั้ง 2 คนละ 250 บาทดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยงดเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่อันเป็นการมิชอบ การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดตามมาตรา 149
การกระทำที่จะเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยใช้อำนาจโดยมิชอบ และใช้อำนาจนั้นข่มขืนใจให้เขามอบให้หรือหาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยมิใช่เรื่องเรียกฯลฯทรัพย์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งเป็นการตอบแทน เช่น จำเลยแกล้งจับเขามาข่มขู่ขืนใจเรียกเอาเงินทองเขาโดยไม่ปรากฏว่าเกิดการกระทำผิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลายมือชื่อ vs. ลายนิ้วมือในสัญญา: พยานรับรองและผลทางกฎหมาย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 9 วรรค 3 ประสงค์เพียงว่า กิจการใดที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ เมื่อบุคคลนั้นไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ หากจะพิมพ์ลายนิ้วมือแทน จะต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองอย่างน้อย 2 คน จึงจะมีผลเท่ากับบุคคลนั้นลงลายมือชื่อโดยพยานผู้รับรองไม่จำเป็นต้องรู้ข้อความในเอกสารนั้น ส่วนข้อความในเอกสารจะมีประการใด เป็นข้อเท็จจริงอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในคดีนี้คู่ความอาจนำสืบได้ตามประเด็น คือเอกสารนี้ปลอมหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 146/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลายมือชื่อ vs. ลายนิ้วมือในสัญญา: พยานรับรองไม่จำเป็นต้องรู้ข้อความ
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรค3 ประสงค์เพียงว่า กิจการใดที่กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ เมื่อบุคคลนั้นไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ หากจะพิมพ์ลายนิ้วมือแทน จะต้องมีพยานลงลายมือชื่อรับรองอย่างน้อย 2 คน จึงจะมีผลเท่ากับบุคคลนั้นลงลายมือชื่อโดยพยานผู้รับรองไม่จำเป็นต้องรู้ข้อความในเอกสารนั้น ส่วนข้อความในเอกสารจะมีประการใดเป็นข้อเท็จจริงอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในคดีนี้คู่ความอาจนำสืบได้ตามประเด็น คือ เอกสารนี้ปลอมหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน, สัญญาใหม่, การขึ้นค่าเช่า, สิทธิบอกเลิกสัญญา, ผลของสัญญาเช่า
หนังสือสัญญาเช่าที่โจทก์จำเลยทำกันมีกำหนดระยะเวลา 5 ปีแต่มิได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาตกเป็นโมฆะไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้เพียง 3 ปี
แต่เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว จำเลยผู้เช่ายังคงอยู่ในห้องเช่าต่อมาตามมาตรา 570 ให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาคู่สัญญามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ แต่ข้อสัญญาอื่นๆ คงเป็นไปตามหนังสือสัญญาเช่าเดิม ฉะนั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่าถ้าครบกำหนด 5 ปีเมื่อใดจำเลยยินยอมขึ้นค่าเช่าให้ข้อสัญญานี้ย่อมผูกพันจำเลยให้ต้องปฏิบัติตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน, สัญญาใหม่หลังครบกำหนด, การผูกพันตามข้อตกลงเรื่องค่าเช่า
หนังสือสัญญาเช่าที่โจทก์จำเลยทำกันมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี แต่มิได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาตกเป็นโมฆะไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 ให้ฟ้องร้องบังคับคดีได้เพียง 3 ปี
แต่เมื่อครบกำหนด 3 ปีแล้ว จำเลยผู้เช่ายังคงอยู่ในห้องเช่าต่อมา ตามมาตรา 570 ให้ถือว่า คู่สัญญาเป็นอันทำสัญญาใหม่ ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา คู่สัญญามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ แต่ข้อสัญญาอื่น ๆ คงเป็นไปตามหนังสือสัญญาเช่าเดิม ฉะนั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่า ถ้าครบกำหนด 5 ปีเมื่อใด จำเลยยินยอมขึ้นค่าเช่าให้ ข้อสัญญานี้ย่อมผูกพันจำเลยให้ต้องปฏิบัติตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกต้องรอคดีความที่ยังไม่สิ้นสุด
ศาลจะสั่งให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาได้หาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกต้องรอให้คดีที่อ้างอิงถึงสิ้นสุดการพิจารณา
ศาลจะสั่งให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเครื่องขยายเสียงออกนอกราชอาณาจักรเพื่อเช่า ไม่ใช่การส่งออกสินค้าต้องขออนุญาต
จำเลยได้นำเครื่องขยายเสียงและสิ่งอุปกรณ์ซึ่งเป็นของจำเลยมีไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2496 สำหรับรับจ้างโฆษณาในงานต่างๆ ออกไปนอกราชอาณาจักรสู่ประเทศลาว เพื่อให้วัดผาหดซึ่งอยู่ในประเทศลาวคนละฝั่งแม่น้ำโขงกับจังหวัดเลยเช่าเมื่อเดือนมิถุนายน 2500 ต่อมาเครื่องชำรุดระหว่างงาน จำเลยจึงได้ขายเครื่องนี้ให้แก่วัดผาหดไปในราคา 6,200 บาทโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบ เพื่อการนำออกนอกราชอาณาจักร ดังนี้ มิใช่เป็นเรื่องจำเลยได้นำเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์รายนี้ไปในฐานะสินค้าเพื่อเสนอขายแต่เป็นเรื่องที่จำเลยมีเครื่องขยายเสียงไว้สำหรับให้เช่าใช้โฆษณาในงานของวัดผาหดแล้วจะนำกลับเข้ามาแต่ในระหว่างงานเครื่องได้เกิดชำรุด จำเลยจึงขายให้แก่วัดผาหดไป ตามพฤติการณ์ ดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์รายนี้เป็นสินค้าตามความหมายแห่งพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2492 มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งออกสิ่งของชำรุดเพื่อซ่อมแซม ไม่ถือเป็นสินค้าต้องห้าม ตาม พ.ร.ก. ควบคุมการส่งออก
จำเลยได้นำเครื่องขยายเสียและสิ่งอุปกรณ์ซึ่งเป็นของจำเลยมีไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2496 สำหรับรับจ้างโฆษณาในงานต่าง ๆ ออกไปนอกราชอาณาจักร สู่ประเทศลาว เพื่อให้วาดผาทดซึ่งอยู่ในประเทศ ลาวคนฝั่งแม่น้ำโขงกับจังหวัดเลยเช่าเมื่อเดือน มิถุนายน 2500 ต่อมาเครื่องชำรุดระหว่างงานจำเลยจังได้ขายเครื่องนี้ให้แก่วัดผาหดไปในราคา 6,200 บาท โดยมิได้รับอนุญาตพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบ เพื่อการนำออกนอกราชอาณาจักร ดังนี้ มิใช่เป็นเรื่องจำเลยได้นำเครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์รายนี้ไปในฐานะสินค้าเพื่อเสนอขายแต่เป็นเรื่องที่จำเลยมีเครื่องขยายเสียงไว้สำหรับให้เช่าใช้โฆษณาในงานของวัดผาหด แล้วจะกลับเข้ามา แต่ในระหว่างงานเครื่องได้เกิดชำรุด จำเลยจึงขายให้แก่วัดผาหดไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า เครื่องขยายเสียงและอุปกรณ์รายนี้ เป็นสินค้าตามความหมายแห่งพระราชกฤษฎีกาควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า บางอย่าง (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2482 มาตรา 3
of 19