พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์เป็นอุปกรณ์ในการกระทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ แม้เจ้าของรถจะไม่มีส่วนรู้เห็น
การสั่งริบของกลางในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ ซึ่งบัญญัติไว้เป็นพิเศษต่างหากจากประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปและไม่มีรอยตราตามกฎหมายโดยิมได้รับอนุญาตตามมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ส. 2484 เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนี้ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบรถยนต์ที่จำเลยขับบรรทุกไม้ของกลางนี้มาจากป่าและถูกยึดไว้เป็นของกลางด้วยได้ เพราะรถยนต์นี้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการมีไม้หวงห้ามนั้นตามมาตรา 74 ทวิ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปและไม่มีรอยตราตามกฎหมายโดยิมได้รับอนุญาตตามมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ส. 2484 เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนี้ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบรถยนต์ที่จำเลยขับบรรทุกไม้ของกลางนี้มาจากป่าและถูกยึดไว้เป็นของกลางด้วยได้ เพราะรถยนต์นี้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการมีไม้หวงห้ามนั้นตามมาตรา 74 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีไม่มีข้อพิพาทกลายเป็นคดีมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ ศาลมีอำนาจสั่งขับไล่ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครอง
จำเลยยื่นคำคัดค้านเถียงกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน และได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) หาเป็นการเกินคำขอไม่
จำเลยยื่นคำคัดค้านเถียงกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน และได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) หาเป็นการเกินคำขอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน: ศาลมีอำนาจสั่งขับไล่จำเลยได้หากจำเลยเถียงกรรมสิทธิ์และโจทก์ชนะคดี
โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินมีโฉนดเป็นกรรมสิทธิของโจทก์โดยการครอบครอง จำเลยยื่นคำคัดค้านเถียงกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นสั่งดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน และได้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนี้ถือได้ว่า โจทก์ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทจากจำเลย เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแอพ่ง มาตรา 142 (1) หาเป็นการเกินคำขอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจากการเช่าต่างสัญญา: ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องสอดคดีเช่าระหว่างโจทก์-จำเลย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า. การที่ผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ผู้มีชื่อคนหนึ่งทำกับผู้แทนโจทก์ อันไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างสิทธิตามสัญญาอีกอันหนึ่ง ต่างเรื่องต่างรายจากสัญญาที่จำเลยทำกับโจทก์ ฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องเพื่อการค้าและยกป้ายใช้ชื่อร้านค้าซึ่งเป็นชื่อของผู้ร้องก็ตาม ก็เป็นแต่บรรยายให้เห็นว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะร้องสอดเข้ามาในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจากการเช่าเป็นอิสระ การสอดเข้ามาในคดีต้องเกี่ยวข้องกับสัญญาพิพาทโดยตรง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า การที่ผู้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาที่ผู้มีชื่อคนหนึ่งทำกับผู้แทนโจทก์ อันไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างสิทธิตามสัญญาอีกอันหนึ่ง ฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องเพื่อการค้า และยกป้ายใช้ชื่อร้านค้าซึ่งเป็นชื่อของผู้ร้องก็ตาม ก็เป็นแต่บรรยายให้เห็นว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะสอดเข้ามาในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีเงื่อนไข การพ้นวิสัย และผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญา
โจทก์ขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยราคา 55,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาด้วยเงินสด 20,000 บาท กับรถยนต์ออสตินของจำเลยตีราคา 35,000 บาท โจทก์จำเลยส่งมอบรถยนต์และเงินสดให้แก่กันแล้ว และตกลงจะไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้กันเมื่อโจทก์ผ่อนชำระราคาครบและรับโอนทะเบียนมาจากกรมสวัสดิการฯ แล้ว ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้กันจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว
ระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถยนต์เฟี้ยตซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยได้ ดังนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์ได้เพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 372 วรรคแรก และเมื่อกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ ก็ไม่เรียกว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้น ตามมาตรา 370และมาตรา 371 ก็บัญญัติว่า สัญญาต่างตอบแทนถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อน และทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้อีกด้วย
ระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถยนต์เฟี้ยตซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยได้ ดังนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์ได้เพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 372 วรรคแรก และเมื่อกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ ก็ไม่เรียกว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้น ตามมาตรา 370และมาตรา 371 ก็บัญญัติว่า สัญญาต่างตอบแทนถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อน และทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้อีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีเงื่อนไข การพ้นวิสัย และผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์ขายรถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยราคา 55,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาด้วยเงินสด 20,000 บาท กับรถยนต์ออสตินของจำเลยตีราคา 35,000 บาท โจทก์จำเลยส่งมอบรถยนต์และเงินสดให้แก่กันแล้ว และตกลงจะไปโอนทะเบียนรถยนต์ให้กันเมื่อโจทก์ผ่อนชำระราคาครบ และรับโอนทะเบียนมาจากกรมสวัสดิการฯ แล้ว ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้กันจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว
ระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถยนต์เฟี้ยตซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้ โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยได้ ดังนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์ได้ เพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 372 วรรคแรก เมื่อกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ ก็ไม่เรียกว่าเป็นสัญญามีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้นตามมาตรา 370 และมาตรา 371 ก็บัญญัติว่า สัญญาต่างตอบแทน ถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้อีกด้วย
ระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ รถยนต์เฟี้ยตซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยถูกเพลิงไหม้ใช้การไม่ได้ โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด เป็นการพ้นวิสัยที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เฟี้ยตให้จำเลยได้ ดังนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ออสตินให้โจทก์ได้ เพราะเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 372 วรรคแรก เมื่อกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนมายังโจทก์ ก็ไม่เรียกว่าเป็นสัญญามีวัตถุประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้นตามมาตรา 370 และมาตรา 371 ก็บัญญัติว่า สัญญาต่างตอบแทน ถ้ามีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ จะนำมาตรา 370 มาใช้บังคับไม่ได้อีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงฐานะเท็จเพื่อฉ้อโกง: จำเลยแสดงตนเป็นผู้จัดการบริษัทแต่ไม่เข้าข่ายความผิดตาม ม.342(1) และหลอกลวงเฉพาะผู้เสียหายรายเดียว
1. จำเลยไม่ได้แสดงตนเป็นคนอื่น แต่เป็นเพียงแสดงฐานะของตนเองเป็นเท็จเท่านั้น ย่อมไม่ผิดฐานแสดงตนเป็นคนอื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (1)
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2505
2. จำเลยมิได้หลอกประชาชน หากแต่หลอกผู้เสียหายคนเดียวเท่านั้น ย่อมผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ไม่ใช่มาตรา 343 วรรคต้น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2505
2. จำเลยมิได้หลอกประชาชน หากแต่หลอกผู้เสียหายคนเดียวเท่านั้น ย่อมผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ไม่ใช่มาตรา 343 วรรคต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงฐานะเท็จเพื่อหลอกลวง ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 342(1) แต่เป็นความผิดมาตรา 341
ไม่ได้แสดงตนเป็นคนอื่น เป็นแต่เพียงแสดงฐานะของตนเองเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 342(1)
ไม่ได้หลอกลวงประชาชน หากแต่หลอกลวงผู้เสียหายผู้เดียวเป็นความผิดตาม มาตรา 341 ไม่ใช่ มาตรา 343วรรคต้น
ไม่ได้หลอกลวงประชาชน หากแต่หลอกลวงผู้เสียหายผู้เดียวเป็นความผิดตาม มาตรา 341 ไม่ใช่ มาตรา 343วรรคต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วง, การสิ้นสุดสิทธิเช่า, และความสัมพันธ์ทางละเมิดระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าช่วง
1. ผู้ร้องทำสัญญาเช่าอาคารจากจำเลยผู้เป็นเจ้าของอาคารคือ ไม่ได้เช่าต่อจากผู้ที่เช่าอาคารมาจากเจ้าของอาคาร ย่อมไม่เป็นการเช่าช่วง
2. ในกรณีที่จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอาคารมีกำหนด10 ปี ตกลงกันว่าเมื่อครบ 10 ปีแล้วอาคารตกเป็นของโจทก์นั้นจำเลยมีอำนาจให้เช่าได้ในฐานะเป็นเจ้าของแต่หามีอำนาจให้เช่าเกิน 10 ปีไม่ เพราะอำนาจให้เช่าเกิน 10 ปี ย่อมตกอยู่แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของอาคาร เมื่อจำเลยไม่มีอำนาจให้เช่าเกิน 10ปี การเช่าเกิน 10 ปีย่อมไม่ตกมายังโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เมื่อการเช่าไม่ตกมายังโจทก์. ผู้ร้องกับโจทก์ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาเช่าต่อกัน เมื่อไม่ใช่คู่สัญญา โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ให้เช่าผู้ร้องอยู่ในอาคารของโจทก์ในฐานละเมิด กรณีไม่อยู่ในข่ายความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าในภาวะคับขันฯ ผู้ร้องเข้าอยู่ในอาคารของโจทก์โดยอาศัยอำนาจของจำเลยจึงถือว่าเป็นบริวาร
(อันดับ 2 ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2505)
2. ในกรณีที่จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกอาคารมีกำหนด10 ปี ตกลงกันว่าเมื่อครบ 10 ปีแล้วอาคารตกเป็นของโจทก์นั้นจำเลยมีอำนาจให้เช่าได้ในฐานะเป็นเจ้าของแต่หามีอำนาจให้เช่าเกิน 10 ปีไม่ เพราะอำนาจให้เช่าเกิน 10 ปี ย่อมตกอยู่แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของอาคาร เมื่อจำเลยไม่มีอำนาจให้เช่าเกิน 10ปี การเช่าเกิน 10 ปีย่อมไม่ตกมายังโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เมื่อการเช่าไม่ตกมายังโจทก์. ผู้ร้องกับโจทก์ก็ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันไม่มีฐานะเป็นคู่สัญญาเช่าต่อกัน เมื่อไม่ใช่คู่สัญญา โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ให้เช่าผู้ร้องอยู่ในอาคารของโจทก์ในฐานละเมิด กรณีไม่อยู่ในข่ายความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าในภาวะคับขันฯ ผู้ร้องเข้าอยู่ในอาคารของโจทก์โดยอาศัยอำนาจของจำเลยจึงถือว่าเป็นบริวาร
(อันดับ 2 ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2505)