พบผลลัพธ์ทั้งหมด 337 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองที่ดินป่าโดยมิชอบ แม้ซื้อต่อจากผู้อื่นก็ยังเป็นความผิดต่อเนื่อง
การเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินซึ่งเดิมเป็นป่า แม้จะซื้อที่ดินนั้นมาจากผู้อื่น และอ้างว่าเจ้าของเดิมได้แผ้วถางไว้จนเตียนแล้วก็ยังเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และความผิดฐานนี้เป็นความผิดที่กระทำต่อเนื่องกัน แม้จะซื้อที่ดินนั้นมา 2 ปีแล้วแต่เมื่อนับจากวันที่เจ้าพนักงานไปพบการยึดถือครอบครองจนถึงวันที่ฟ้องเป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี ย่อมไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้ปลูกรั้วรุกล้ำที่ดินไม่ได้ทำให้เกิดสิทธิครอบครองปรปักษ์ เจ้าของที่ดินมีสิทธิรื้อถอนได้ทันที
การที่โจทก์ยินยอมอนุญาตให้รั้วของจำเลยยังคงรุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ได้ต่อไปนั้นจำเลยจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นเป็นข้อต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อโจทก์หาได้ไม่และเมื่อใดโจทก์ไม่มีความประสงค์จะให้รั้วของจำเลยคงอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่อไปแล้ว โจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนรั้วนั้นออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ทันที หาจำต้องบอกกล่าวแก่จำเลยก่อนฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อรั้วที่อนุญาตให้สร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป จำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วไม่ยอมรื้อรั้วกลับต่อสู้คดีดังนี้ ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันรับสำเนาฟ้องเป็นต้นไป
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อรั้วที่อนุญาตให้สร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป จำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วไม่ยอมรื้อรั้วกลับต่อสู้คดีดังนี้ ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันรับสำเนาฟ้องเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รั้วรุกล้ำที่ดิน: ยินยอม ≠ ครอบครองปรปักษ์ เจ้าของที่ดินมีสิทธิรื้อถอนได้ทันทีเมื่อต้องการ
การที่โจทก์ยินยอมอนุญาตให้รั้วของจำเลยยังคงรุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ได้ต่อไปนั้น จำเลยจะอ้างการครอบครองปกปักษ์ขึ้นเป็นข้อต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อโจทก์หาได้ไม่ และเมื่อใดโจทก์ไม่มีความประสงค์จะให้รั้วของจำเลยคงอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่อไปแล้ว โจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ทันที หาจำต้องบอกกล่าวแก่จำเลยก่อนฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลรื้อรั้วที่อนุญาตให้สร้งอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป จำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วไม่ยอมรื้อรั้วกลับต่อสู้คดี ดังนี้ ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันรับสำเนาฟ้องเป็นต้นไป
โจทก์ฟ้องให้จำเลรื้อรั้วที่อนุญาตให้สร้งอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป จำเลยรับสำเนาฟ้องแล้วไม่ยอมรื้อรั้วกลับต่อสู้คดี ดังนี้ ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันรับสำเนาฟ้องเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 1 รับผิดแม้จำเลยที่ 2 คัดค้าน โจทก์ต้องพิสูจน์ความประมาทเพื่อผูกมัดจำเลยที่ 2
ในกรณีที่จำเลยที่ 1,2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้นถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง
แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59
แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 1 รับผิดแต่จำเลยที่ 2 ต่อสู้คดี โจทก์ต้องพิสูจน์ความประมาทของจำเลยที่ 1 เอง
ในกรณีที่จำเลยที่ 1, 2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้ เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373-374/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์จำกัดเฉพาะคดีที่มีการอุทธรณ์ คดีที่ไม่อุทธรณ์ถือเป็นที่สิ้นสุด
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราออกนอกประเทศโดยมิได้รับอนุญาตสำนวนหนึ่ง และฐานนำคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตอีกสำนวนหนึ่ง และจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเฉพาะความผิดสำนวนแรกซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายต่างกับความผิดสำนวนหลังซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์ คดีที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ฉะนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373-374/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลจำกัดเฉพาะคดีที่อุทธรณ์ คดีที่ไม่อุทธรณ์ถือเป็นอันยุติแล้ว
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราออกนอกประเทศโดยมิได้รับอนุญาตสำนวนหนึ่งและฐานนำคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตอีกสำนวนหนึ่ง และจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาเฉพาะความผิดสำนวนแรกซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายต่างกับความผิดสำนวนหลังซึ่งจำเลยมิได้อุทธรณ์คดีที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นอันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้าม: คดีแพ่งไม่ห้าม แม้เคยฟ้องคดีอาญาเรียกทรัพย์เดียวกันไว้ก่อน หากคดีอาญาไม่วินิจฉัยประเด็นทรัพย์
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้จำเลยใช้เงินที่จำเลยได้ยักยอกเอาไปจำเลยตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งนั้น ผู้ว่าคดีเคยฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยยักยอกเงินรายเดียวกันนี้ และมีคำขอให้จำเลยใช้เงินที่ยักยอกนั้นด้วย ทั้งตัวผู้เสียหายก็ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญานั้นด้วย ศาลแขวงได้ไต่สวนมูลฟ้องเพราะเป็นคดีเกินอำนาจ แล้วเห็นว่าคดียังไม่มีมูลว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอก จึงพิพากษายกฟ้อง ผู้ว่าคดีอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยได้ตายในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงสั่งจำหน่ายคดีส่วนคดีแพ่งที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องดังกล่าวนั้นได้ฟ้องเข้ามาก่อนจำเลยถึงแก่ความตาย ดังนี้ฟ้องคดีแพ่งของผู้เสียหายดังกล่าว หาเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำต้องห้าม: คดีอาญาที่จำหน่ายคดีแล้ว ไม่กระทบสิทธิฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากละเมิด
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งขอให้จำเลยใช้เงินที่จำเลยได้ยักยอกเอาไป จำเลยตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งนั้น ผู้ว่าคดีเคยฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยยักยอกเงินรายเดียวกันนี้ และมีคำขอให้จำเลยใช้เงินที่ยักยอกนั้นด้วย ทั้งตัวผู้เสียหายก็ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญานั้นด้วย ศาลแขวงได้ไต่สวนมูลฟ้องเพราะเป็นคดีเกินอำนาจ แล้วเห็นว่าคดียังไม่มีมูลว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอก จึงพิพากษายกฟ้อง ผู้ว่าคดีอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยได้ตายในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงสั่งจำหน่ายคดี ส่วนคดีแพ่งที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องดังกล่าวนั้น ได้ฟ้องเข้ามาก่อนจำเลยถึงแก่ความตาย ดังนี้ ฟ้องคดีแพ่งของผู้เสียหายดังกล่าว หาเป็นฟ้องซ้ำต้องห้าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิเรียกร้องค่าเช่าและการชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิส่งผลให้โจทก์หมดสิทธิเรียกร้องจากจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าโกดังของโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2501 ถึง พฤษภาคม 2502 รวม18 เดือน โดยจำเลยกลับไปชำระให้นางเยี่ยมศรีซึ่งไม่มีสิทธิ จำเลยให้การต่อสู้ด้วยว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2502 จำเลยได้รับหนังสือจากทนายของโจทก์แจ้งให้ชำระค่าเช่าแก่โจทก์แต่เดือนมิถุนายน 2502 เป็นต้น และห้ามชำระแก่นางเยี่ยมศรีที่ชำระไปแล้วโจทก์จะเรียกจากนางเยี่ยมศรีเอง โจทก์มิได้แถลงรับในข้อนี้เมื่อศาลนัดพร้อม และคู่ความไม่สืบพยาน แต่ตามคำแถลงการณ์ของโจทก์ก่อนศาลพิพากษาคดีโจทก์กล่าวถึงหนังสือของทนายโจทก์ดังที่จำเลยกล่าวอ้างด้วย ดังนี้ เป็นการรับข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว และโจทก์จะอ้างว่าตามหนังสือดังกล่าวนี้ โจทก์เสนอให้จำเลยชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2502 ให้โจทก์ แล้วโจทก์จะไม่เรียกร้องค่าเช่าก่อนนั้น (ค่าเช่า 14 เดือนที่ฟ้อง) จากจำเลย หาได้ไม่ เพราะไม่อาจถือได้ว่ามีข้อความตั้งข้อแม้ไว้เช่นนั้นและถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องค่าเช่าเดือนก่อนๆ นั้นจากจำเลยอีก โดยจะเรียกเอาจากนางเยี่ยมศรีแทน เมื่อปรากฏตามหนังสือดังกล่าวว่าโจทก์สละสิทธิไม่เรียกร้องเอากับจำเลยโดยจะเรียกคืนจากนางเยี่ยมศรีเองแล้วโจทก์จะอ้างว่าจำเลยมีหน้าที่ชำระค่าเช่านั้นแก่โจทก์ผู้ให้เช่า ที่จำเลยชำระให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับชำระไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นความรับผิดต่อโจทก์ แล้วจะกลับมารื้อฟื้นเรียกร้องเอาจากจำเลยอีกย่อมไม่ได้