คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อนุสสรนิติสาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 337 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันหนี้: การทวงหนี้และผลกระทบต่อความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามสัญญากู้ที่กำหนดเวลาชำระไว้แน่นอน คือ ภายในวันที่ 25 กันยายน 2500 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระโจทก์ไม่ได้ทวงถามจำเลย แต่กลับมีหนังสือลงวันที่ 1 ตุลาคม 2500 ถึงลูกหนี้ให้นำเงินมาชำระภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2500 ดังนี้ หนังสือนั้นเป็นหนังสือทวงหนี้บอกกล่าวกำหนดวันให้นำเงินมาชำระ ไม่มีข้อความกล่าวถึงเรื่องผ่อนเวลาชำระหนี้ จึงเป็นเพียงเรื่องที่ผู้กู้ผิดนัดและผู้ให้กู้ไม่ฟ้องร้องทันทีเท่านั้นหาใช่เป็นเรื่องผ่อนเวลาชำระหนี้ไม่
การที่เจ้าหนี้ผู้ให้กู้มิได้บรรยายในฟ้องที่ฟ้องลูกหนี้ผู้กู้ว่าจะฟ้องผู้ค้ำประกันในภายหลังนั้น ไม่มีผลให้ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิด ผู้ค้ำประกันจะพ้นความรับผิดก็ต่อเมื่อสัญญาค้ำประกันระงับสิ้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดคดีของภรรยาจำเลยในฐานะจำเลยร่วม และสิทธิในการยื่นคำให้การเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขับไล่จำเลยกับบริวารออกไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ในระหว่างพิจารณา เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จจำเลยตาย ศาลตั้งภรรยาจำเลยเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ภรรยาจำเลยยื่นคำร้องว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยกับของตนมีสิทธิร่วมกัน ขอเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต การที่ร้องสอดเข้ามามิได้แสดงให้เห็นว่าที่ดินส่วนของตนอยู่ตรงไหนตอนใด และจำเลยเดิมต่อสู้คดีไว้ขัดแย้งต่อสิทธิของตนประการใด ต้องถือว่าร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) หาใช่เข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามไม่ เมื่อจำเลยเดิมไม่มีสิทธิจะยื่นคำให้การอีก จำเลยร่วมจึงไม่มีสิทธิเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดคดีจำเลยร่วมและการจำกัดสิทธิในการยื่นคำให้การเพิ่มเติมหลังสืบพยานโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขับไล่จำเลยกับบริวารออกไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ในระหว่างพิจารณา เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยตาย ศาลตั้งภรรยาจำเลยเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ภรรยาจำเลยยื่นคำร้องว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยกับของตนมีสิทธิร่วมกัน ขอเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต การที่ร้องสอดเข้ามามิได้แสดงให้เห็นว่าที่ดินส่วนของตนอยู่ตรงไหน ตอนใด และจำเลยเดิมต่อสู้คดีไว้ขัดแย้งต่อสิทธิของตนประการใด ต้องถือว่าร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) หาใช่เข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามไม่ เมื่อจำเลยเดิมไม่มีสิทธิจะยื่นคำให้การอีก จำเลยร่วมจึงไม่มีสิทธิเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการเรียกเงินจากบัญชีที่ไม่ถูกต้อง และการโต้แย้งบัญชีในคำแก้อุทธรณ์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งให้ผู้ร้องชำระเงินที่ขาดบัญชีไป ผู้ร้องจึงร้องต่อศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าบัญชีเงินที่ขาดถูกต้อง แต่เมื่อพิจารณาประเด็นข้ออื่นแล้วสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งให้ผู้ร้องชำระเงินรายนี้เสีย ผู้ร้องจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอุทธรณ์ต่อไปอีก เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผุ้แพ้คดีเป็นฝ่ายอุทธรณ์และผู้ร้องได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับบัญชีนี้ว่าไม่ถูกต้องดังที่ได้ร้องคัดค้านไว้แล้วในศาลชั้นต้น ดังนี้ ย่อมมีประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงบัญชีนี้ว่าถูกต้องหรือไม่ได้ โยผู้ร้องไม่ต้องอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการเรียกร้องเงินจากบัญชีที่ไม่ถูกต้อง และประเด็นการโต้แย้งบัญชีในชั้นอุทธรณ์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งให้ผู้ร้องชำระเงินที่ขาดบัญชีไปผู้ร้องจึงร้องต่อศาลศาลชั้นต้นเห็นว่าบัญชีเงินที่ขาดถูกต้อง แต่เมื่อพิจารณาประเด็นข้ออื่นแล้ว สั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งให้ผู้ร้องชำระเงินรายนี้เสีย ผู้ร้องจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอุทธรณ์ต่อไปอีก เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้แพ้คดีเป็นฝ่ายอุทธรณ์ และผู้ร้องได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์โต้แย้งเกี่ยวกับบัญชีนี้ว่าไม่ถูกต้องดังที่ได้ร้องคัดค้านไว้แล้วในศาลชั้นต้น ดังนี้ ย่อมมีประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงบัญชีนี้ว่าถูกต้องหรือไม่ได้ โดยผู้ร้องไม่ต้องอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จกล่าวหาปล้นทรัพย์เพื่อแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษหนักขึ้น มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ประกอบ 181(1)
จำเลยเกิดปากเสียงกับนายชิงชองแล้วถูกนายชิงชองชกต่อยเอา แต่จำเลยกลับนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า มีนักเลง 3 คนกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย โดยคนหนึ่งใช้ไม้ตีคนหนึ่งล๊อกคอ อีกคนหนึ่งล้วงเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป 300 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการแกล้งจะให้นายชิงชองต้องรับโทษหนักขึ้น และเป็นการกล่าวหาว่านายชิงชองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ประกอบด้วยมาตรา 181(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จกล่าวหาปล้นทรัพย์เพื่อแกล้งให้ผู้อื่นรับโทษหนักกว่าความเป็นจริง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยเกิดปากเสียงกับนายชิงชองแล้วถูกนายชิงชองชกต่อยเอา แต่จำเลยกลับนำความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่ามีนักเลง 3 คนกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย โดยคนหนึ่งใช้ไม้ตี คนหนึ่งล๊อคคออีกคนหนึ่งล้วงเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป 300 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการแกล้งจะให้นายชิงชองต้องรับโทษหนักขึ้นและเป็นการกล่าวหาว่านายชิงชองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ประกอบด้วยมาตรา 181 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมสิ้นสุดลงเมื่อถูกปิดกั้นการใช้ประโยชน์นานเกินกว่า 15 ปี แม้จะกลับมาใช้ประโยชน์อีกก็ไม่ฟื้นคืนสภาพ
ทางซึ่งเคยตกเป็นภารจำยอมขนาดเกวียนเดินผ่านได้ แต่เจ้าของที่ปลูกกั้นไม่ให้เกวียนเดินมาช้านานถึง 15-16ปีย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399คงเหลือแต่ภารจำยอมเฉพาะคนเดินเท่านั้น เมื่อสภาพแห่งภารจำยอมที่จะใช้เกวียนสิ้นไปแล้ว แม้จะกลับใช้เกวียนใหม่อีกเพียง 3 ปี ก็ไม่ทำให้ภารจำยอมกลับมีขึ้นอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือ 1401และการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า ภารจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความนี้ เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิ ไม่ใช่อายุความฟ้องคดี ศาลจึงยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยเองได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 193

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมสิ้นสุดลงเมื่อมีการหยุดใช้ทางเป็นระยะเวลานาน และขนาดทางไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์เดิม
ทางซึ่งเคยตกเป็นภาระจำยอมขนาดเกวียนเดินผ่านได้แต่เจ้าของที่ปลูกกั้นไม่ให้เกวียนเดินมาช้านานถึง 15-16 ปี ย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 คงเหลือแต่ภาระจำยอมเฉพาะคนเดินเท่านั้น เมื่อสภาพแห่งภาระจำยอมที่จะใช้เกวียนสิ้นไปแล้ว แม้จะกลับใช้เกวียนใหม่อีกเพียง 3 ปี ก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมกลับมีขึ้นอีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือ 1401
และการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า ภาระจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความนี้เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิ ไม่ใช่อายุความฟ้องคดี ศาลจึงยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยเองได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 193

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียน ผลบังคับใช้ 3 ปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาก่อน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
ทำสัญญาเช่ากันมีกำหนด 5 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียน จึงมีผลบังคับเพียง 3 ปี เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่าก็ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 สัญญาเช่าจึงจะระงับ
แต่ในปัญหาดังนี้ ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องบอกกล่าว และสั่งงดสืบพยานในข้อนี้ การวินิจฉัยและสั่งเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะประเด็นบางข้อ(เพราะคดียังมีประเด็นข้ออื่นอีกด้วย) แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งไว้เสียแต่ศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ในชั้นศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 228(3)
of 34