พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,113 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอก: การครอบครองทรัพย์แล้วทุจริตเบียดบังเป็นประโยชน์ตนเอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอก โดยมีข้อความระบุวันที่จำเลยรับมอบจักร์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2501 เวลากลางวัน เพื่อเอาไปทดลองใช้ภายในกำหนดวันที่ 24 กรกฎาคม 2501 ให้นำจักร์ส่งคืน. จำเลยกับพวกรับจักร์ไปแล้วมิได้นำจักรมาส่งคืนตามกำหนด โดยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเอาจักร์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่นดังนี้ฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีว่าจำเลยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ไประหว่างวันเวลาดังกล่าวนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์: ฟ้องชัดเจน ครอบครองแล้วเบียดบังเป็นของตน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอก โดยมีข้อความระบุวันที่จำเลยรับมอบจักร์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2501 เวลากลางวัน เพื่อเอาไปทดลองใช้ภายในกำหนดวันที่ 24 กรกฎาคม 2501 ให้นำจักร์ส่งคืนจำเลยกับพวกรับจักร์ไปแล้วมิได้นำจักรมาส่งคืนตามกำหนด โดยมีเจตนาทุจริตเบียดบังยักยอกเอาจักร์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่น ดังนี้ ฟ้องของโจทก์มีข้อความชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีกว่า จำเลยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ไประหว่างวันเวลาดังกล่าวนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความสาหัสของบาดแผลเพื่อกำหนดโทษฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
ผู้บาดเจ็บถูกฟันศีรษะ 1 ที และถูกแทงหลัง 1 ที ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 15 วัน แพทย์ก็ให้กลับและให้ไปโรงพยาบาลทุก 3 วันเพราะประสาทยังไม่ปกติไปโรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้านเพราะต้องเดินไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฏอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายสาหัส
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสาม จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกาศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรคสอง ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสาม จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกาศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรคสอง ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความร้ายแรงของการบาดเจ็บเพื่อกำหนดความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
ผู้บาดเจ็บถูกฟันศีรษะ 1 ทีและถูกแทงหลัง 1 ที ต้องรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 15 วัน แพทย์ก็ให้กลับและให้ไปโรงพยาบาลทุก 3 วัน เพราะประสาทยังไม่ปกติ ไปโรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง แล้วขอยามารักษาที่บ้าน เพราะต้องเดินทางไกลสะเทือนสมอง เพียงเท่านี้ไม่ปรากฎอาการใดที่จะถือเป็นทุกขเวทนา เกินกว่า 20 วัน ถือว่ายังไม่เป็นอันตรายสาหัส
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 3 จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งมีโทษเบากว่า แม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้มีผู้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 3 จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าบาดเจ็บนั้นไม่ถึงสาหัสจึงเป็นผิดเพียงตาม มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งมีโทษเบากว่า แม้จำเลยอื่นจะมิได้ฎีกา ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ย่อมมีผลตลอดถึงจำเลยอื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลแขวงให้คดีมีมูลเด็ดขาด ไม่อุทธรณ์ฎีกาได้ แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลและประทับฟ้องส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการ คำสั่งของศาลแขวงที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาว่า ผู้ว่าคดีโจทก์ฟ้องคดีพ้นระยะเวลาตามที่ กำหนดไว้ใน มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 โดยไม่มีการขอและรับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการตาม มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. นั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ หาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2503)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลแขวงให้คดีมีมูลเด็ดขาด ห้ามอุทธรณ์ฎีกา แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้อง
ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลและประทับฟ้องส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการ คำสั่งของศาลแขวงที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดจำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาว่าผู้ว่าคดีโจทก์ฟ้องคดีพ้นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499โดยไม่มีการขอและรับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการตาม มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัตินั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้ หาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอุทธรณ์ที่ผิดพลาด: ศาลมีอำนาจกำหนดเวลาให้แก้ไขได้ ไม่ถือเป็นการยืดเวลา
ปัญหาว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ผิดพลาดมายื่นใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาซึ่งแล้ว แต่ศาลชั้นต้นจะเห็นสมควร นั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ขอจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลข ตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจ ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15 ป.วิ.อ. ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลา ถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นยืดเวลา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ไม่ หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้ว หรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ขอจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลข ตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจ ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15 ป.วิ.อ. ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลา ถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นยืดเวลา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ไม่ หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้ว หรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขอุทธรณ์ที่ผิดพลาด: ศาลชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ใหม่ได้ ไม่เป็นการยืดเวลา
ปัญหาว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ผิดพลาดมายื่นใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาซึ่งแล้วแต่ศาลชั้นต้นจะเห็นสมควร นั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลขตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลาถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควรการที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นการยืดเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้วหรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
ศาลชั้นต้นตำหนิฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยเพราะพิมพ์ตัวเลขตอนย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นไขว้เขวไป หาใช่ตัวบรรยายอุทธรณ์แท้ไม่ ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำมาใหม่ซึ่งต้องเข้าใจว่า ศาลสั่งโดยอาศัยอำนาจประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบด้วยมาตรา 15ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งศาลชอบที่จะกำหนดระยะเวลาถ้าศาลไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ก็พึงเข้าใจว่า ภายในระยะเวลาอันสมควรการที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยแก้ฟ้องอุทธรณ์หรือยื่นฟ้องอุทธรณ์ใหม่ให้ถูกต้องตามที่ศาลชั้นต้นตำหนิ หาใช่เป็นการยืดเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่หากแต่เป็นเรื่องจะให้ยื่นอุทธรณ์ใหม่ตามที่สั่งไว้เดิมแล้วหรือไม่เท่านั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งความรับผิดในกรณีความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ศาลพิจารณาพฤติการณ์เพื่อกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อน
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนสูงต่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อน
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่าย กฎหมายให้ศาลกำหนดค่าสินไหนทดแทนสูงค่ำตามส่วนแห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย