คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประกอบ หุตะสิงห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 722 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: การฟ้องคดีที่มีจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง ศาลมีอำนาจพิจารณาได้
แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดพระนครแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง 8 วันก็ดี หากมีหลักฐานแสดงอยู่ว่าจำเลยยังคงมีบ้านและถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ดังเดิม ด้วย ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง คือ ทั้งที่เชียงใหม่ และจังหวัดพระนคร ซึ่งโจทก์ย่อมถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยและยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเชียงใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาจำเลย - การฟ้องคดีเมื่อจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง ศาลมีอำนาจพิจารณาได้
แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดพระนครแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง 8 วันก็ดี หากมีหลักฐานแสดงอยู่ว่าจำเลยยังคงมีบ้านและถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ดังเดิมด้วย ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่งคือ ทั้งที่เชียงใหม่และจังหวัดพระนครซึ่งโจทก์ย่อมถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยและยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเชียงใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าค้างชำระ & การบอกเลิกสัญญาทางไปรษณีย์ลงทะเบียน การแจ้งผลถึงผู้รับสำคัญกว่าการได้รับ
สัญญาเช่าบ้านที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าทำต่อกันระบุไว้ชัดแจ้งว่า ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าในวันสิ้นเดือนตามปฏิทินทุกๆ เดือนนั้น เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าเมื่อถึงวันสิ้นเดือนตามปฏิทิน ผู้เช่าก็ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแล้ว
การบอกกล่าวเลิกการเช่าซึ่งผู้ให้เช่าส่งไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เจ้าหน้าที่ผู้ส่งบันทึกว่า "ผู้รับไม่ยอมรับ ขอคืน" นั้น ถือได้ว่าการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่ามีผลแล้วนับแต่เวลาที่ไปถึงผู้เช่าเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน: การครอบครองปรปักษ์และขอบเขตที่ดินตามโฉนด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ประมาณ 29 ไร่เศษ จำเลยเข้าทำนาโดยการละเมิด ขอให้ขับไล่จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่แปลงนี้เป็นของจำเลยโดยจำเลยครอบครองมาครั้นเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปทำแผนที่พิพาทปรากฎว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องและจำเลยต่อสู้นี้เป็นแปลงเดียวกัน มีอาณาเขตตรงกัน แต่มีเนื้อที่ 17 ไร่เศษ ดังนี้ เมื่อแผนที่หลังโฉนดของโจทก์เป็นแผนที่อย่างเก่าไม่มีหลักเขตปัก เอาความแน่นอนอย่างสมัยปัจจุบันไม่ได้ตามฟ้อง โจทก์ก็กล่าวในเรื่องเนื้อที่โดยการประมาณเท่านั้น และเป็นการพิพาทกันทั้งแปลง เจ้าของที่ดินและเจ้าหน้าที่ดูแลเขตคลองที่ติดต่อกับที่พิพาทก็รับรองว่าที่พิพาทมิได้รุกล้ำที่ใคร ทั้งโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลเต็มตามเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ไม่เป็นการเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: โจทก์มีโฉนด แต่เนื้อที่ต่างกัน ศาลตัดสินตามเขตโฉนดเดิมได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ประมาณ29 ไร่เศษ จำเลยเข้าทำนาโดยการละเมิด ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่แปลงนี้เป็นของจำเลยโดยจำเลยครอบครองมา ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องและจำเลยต่อสู้นี้เป็นแปลงเดียวกัน มีอาณาเขตตรงกัน แต่มีเนื้อที่ 37 ไร่เศษ ดังนี้เมื่อแผนที่หลังโฉนดของโจทก์เป็นแผนที่อย่างเก่าไม่มีหลักเขตปัก เอาความแน่นอนอย่างสมัยปัจจุบันไม่ได้ตามฟ้องโจทก์ก็กล่าวในเรื่องเนื้อที่โดยการประมาณเท่านั้น และเป็นการพิพาทกันทั้งแปลง เจ้าของที่ดินและเจ้าหน้าที่ดูแลเขตคลองที่ติดต่อกับที่พิพาทก็รับรองว่าที่พิพาทมิได้รุกล้ำที่ใคร ทั้งโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลเต็มตามเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ไม่เป็นการเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดใช้เช็ค - การกระทำร่วมกัน แม้ไม่ได้ลงชื่อสั่งจ่ายเองก็อาจมีความผิดได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 ให้ใช้บทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นนั้น ย่อมนำมาใช้ในกรณีแห่งความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามพระราชบัญญัตินั้นด้วย
ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามพระราชบัญญัติฉบับนั้นไม่จำต้องกระทำโดยบุคคลเพียงคนเดียว บุคคลหลายคนอาจร่วมกระทำผิดด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดใช้เช็ค – การสมคบร่วมกระทำผิด แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงนาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 ให้ใช้บทบัญญัติในภาค 1แห่งประมวลกฎหมายอาญาในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอื่นนั้นย่อมนำมาใช้ในกรณีแห่งความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามพระราชบัญญัตินั้นด้วย
ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามพระราชบัญญัติฉบับนั้น ไม่จำต้องกระทำโดยบุคคลเพียงคนเดียว บุคคลหลายคนอาจร่วมกระทำผิดด้วยกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาของผู้มีจิตบกพร่อง: การประเมินความสามารถในการรู้ผิดชอบและควบคุมตนเอง
หากจำเลยกระทำความผิดลงในขณะที่จำเลยเป็นคนมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน แต่จำเลยก็ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างแล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดทางอาญาของผู้มีจิตบกพร่อง: การพิจารณาโทษตามมาตรา 65 วรรคท้าย ป.อาญา
หากจำเลยกระทำความผิดลงในขณะที่จำเลยเป็นคนมีจิตบกพร่องโรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนแต่จำเลยก็ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างแล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1060/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมระงับข้อพิพาทมีผลผูกพัน ทำให้สิทธิเรียกร้องเดิมระงับสิ้นสุด แม้จะไม่ได้ทำกับจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมชดใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างลูกจ้าง โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัย และว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกันแล้ว ดังนี้ ประเด็นที่สำคัญที่จะต้องวินิจฉัยเบื้องต้น คือ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมระงับข้อพิพาทกันไว้แล้วจริง หรือไม่ ถ้าได้ทำไว้จริงก็ไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป
เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 1 ได้ปลดเปลื้องไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดที่จะให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่าเสียหายอันใดอีก แม้โจทก์จะไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2 ก็ตาม โจทก์หมดสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ย่อมหมดสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย
of 73