คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประกอบ หุตะสิงห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 722 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายด้วยการเตะและตบจนเกิดรอยฟกช้ำไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 295
การทำร้ายแค่ไหนจะถือว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม มาตรา 295 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบกัน
จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้นและรักษาเพียง 5 วันก็หายยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คงเป็นผิดตามมาตรา 391 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด, และการพิสูจน์เหตุการณ์ในอดีต
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาท, และการพิสูจน์พฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบ ๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500 (2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยผู้จัดการ (ชาวออสเตรเลีย) ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า "คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด" คำว่า อ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์ เป็นคำด่านและคำสบประมาท แม้จำเลยจะได้ใช้ถอยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้ พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500 (2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการ แต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างไรบ้าง ที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้น ทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วย ดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาฯ ขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯ หรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีก การทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเวลากำหนด 3 เดือน ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ เมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังหนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าขาดแล้ว แม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา 1509 วรรค 2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายกรณีถูกปลดออกจากราชการ: ละเมิดสิทธิรับราชการ vs. ผิดสัญญาจ้าง
กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการฐานผิดวินัย แต่การสั่งตั้งกรรมการพิจารณาโทษที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องละเมิดสิทธิในการรับราชการของโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินเดือนที่ไม่ได้รับระหว่างถูกปลดจากราชการย่อมต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จะใช้อายุความ 5 ปี ตามมาตรา 166 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดสิทธิข้าราชการ: ไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงาน ใช้ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448
กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากราชการฐานผิดวินัยแต่การสั่งตั้งกรรมการพิจารณาโทษที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ กรณีเป็นเรื่องละเมิดสิทธิในการรับราชการของโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่ฉะนั้น การที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินเดือนที่ไม่ได้รับในระหว่างถูกปลดจากราชการย่อมต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 จะใช้อายุความ 5 ปี ตามมาตรา 166 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตใบอนุญาตและการกระทำผิดสัญญาอนุญาต: การแปรรูปไม้หมอนรถไฟ
จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้แต่จำเลยจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเพิ่มเติมประกอบใบอนุญาต แม้ข้อกำหนดระบุไว้ว่าผู้รับอนุญาตจะตั้งโรงงานแปรรูปไม้ด้วยเครื่องจักรเพื่อประดิษฐ์เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปจำหน่ายแต่จำเลยแปรรูปไม้หมอนรถไฟโดยรับจ้างตบแต่งด้วยการใช้เครื่องจักรถากไม้หมอนให้ได้ขนาดเรียบร้อยการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48 หากแต่เป็นการกระทำผิดต่อข้อกำหนดซึ่งให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งพักใช้ใบอนุญาตนี้ได้ ไม่ใช่กรณีที่จะฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตใบอนุญาตแปรรูปไม้: การกระทำผิดเงื่อนไขใบอนุญาตไม่ใช่ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ แต่จำเลยจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเพิ่มเติมประกอบใบอนุญาต แม้ข้อกำหนดระบุไว้ว่าผู้รับอนุญาตจะตั้งโรงงานไม้แปรรูปได้ด้วยเครื่องจักรเพื่อประดิษฐ์เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปจำหน่าย แต่จเลยแปรรูปไม้หมอนรถไฟโดยรับจ้างตบแต่งด้วยการใช้เครื่องจักรถากไม้หมอนให้ได้ขนาดเรียบร้อย การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48 หากแต่เป็นการกระทำผิดต่อข้อกำหนดซึ่งให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งพักใช้ใบอนุญาตนี้ได้ ไม่ใช่กรณีที่จะฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษจำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2506)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมยินยอมให้ขายฝาก ที่ดินหลุดเป็นสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่
หากมีผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปขายฝากโจทก์และไม่ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ที่พิพาททั้งแปลงย่อมหลุดตกเป็นสิทธิแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมยินยอมให้ขายฝากแล้วไม่ไถ่ ที่ดินตกเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิขับไล่
หากผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปขายฝากโจทก์และไม่ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดแล้วที่พิพาททั้งแปลงย่อมหลุดตกเป็นสิทธิแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสซ้อน: การจดทะเบียนสมรสที่ขัดแย้งกับคู่สมรสเดิมตามกฎหมายลักษณะผัวเมียและประมวลกฎหมายแพ่งฯ
โจทก์กับ ส. เป็นสามีภริยากันอยู่ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียครั้นเมื่อส. ตายกระทรวงกลาโหมก็จ่ายบำนาญตกทอดให้แก่โจทก์ตลอดมาต่อมาจำเลยไปคัดค้าน กระทรวงกลาโหมจึงงดจ่ายปรากฏว่า ก่อนส.ตาย ส. ได้สมรสกับจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสการจดทะเบียนสมรสเช่นนี้ย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3),1490 โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนทะเบียนสมรสนั้นเสียได้
of 73