พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาซื้อขาย: จำเลยต้องรังวัดแบ่งแยกที่ดินก่อนโอนให้โจทก์ โจทก์ไม่ผิดสัญญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดและได้มีคำบังคับให้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นแล้ว
ต่อมาโจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อนแล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
ต่อมาโจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อนแล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาตามยอม: จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมก่อน แม้จะรังวัดที่ดินแล้ว
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดและได้มีคำบังคับให้โจทก์จำเลยปฏิบัติสัญญานั้นแล้ว
ต่อมาโจทก์จำเลยต่อโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน แล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
ต่อมาโจทก์จำเลยต่อโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อน แล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งเสียและชอบด้วยกฎหมาย การนับคะแนน และการสั่งเลือกตั้งใหม่
บัตรเลือกตั้งที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครแต่เลขไทยหรือเลขอารบิคเพียงเลขใดเลขหนึ่ง ไม่มีลักษณะเป็นบัตรเสียตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511มาตรา 58 แต่มาตรา 49 บัญญัติว่าการลงคะแนนเลือกตั้งให้ใช้วิธีปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครในบัตรเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงกำหนดว่าเลขหมายประจำตัวผู้สมัครต้องมีเลขไทยและเลขอารบิคควบคู่กันทั้งสองอย่าง ดังนั้น การที่ใช้เพียงเลขใดเลขหนึ่งย่อมถือว่าเป็นเลขหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ได้ เพราะเป็นเลขหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง บัตรประเภทนี้จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 49 และใช้นับเป็นคะแนนเลือกตั้งไม่ได้
บัตรที่มีเลขหมายประจำตัวของผู้สมัครบางคนเสียปะปนอยู่ในซองบัตรเลือกตั้งเดียวกันไม่ถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งหมด คงเสียเฉพาะเลขหมายที่ไม่ชอบเท่านั้น ส่วนเลขหมายอื่น ๆ ที่ถูกต้องถือว่าเป็นบัตรดี
บัตรที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครคว่ำต้องมองกับแสงสว่างจึงเห็นเงาเลขหมาย ถือว่าเป็นบัตรเสียตามมาตรา 58(2) เพราะอ่านโดยวิธีธรรมดาไม่รู้ว่าเป็นเลขหมายอะไร
แม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนจะปรากฏว่าในหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งมีบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเกินกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 500 บัตรเศษซึ่งเป็นการไม่ชอบ แต่หากจะเอาคะแนนของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในหน่วยนี้ออกเสียทั้งหมด ก็ไม่ทำให้ผลของการเลือกตั้งสำหรับผู้ได้รับเลือกตั้งบางคนเปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกและวรรคสาม วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-3/2513)
บัตรที่มีเลขหมายประจำตัวของผู้สมัครบางคนเสียปะปนอยู่ในซองบัตรเลือกตั้งเดียวกันไม่ถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งหมด คงเสียเฉพาะเลขหมายที่ไม่ชอบเท่านั้น ส่วนเลขหมายอื่น ๆ ที่ถูกต้องถือว่าเป็นบัตรดี
บัตรที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครคว่ำต้องมองกับแสงสว่างจึงเห็นเงาเลขหมาย ถือว่าเป็นบัตรเสียตามมาตรา 58(2) เพราะอ่านโดยวิธีธรรมดาไม่รู้ว่าเป็นเลขหมายอะไร
แม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนจะปรากฏว่าในหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งมีบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเกินกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 500 บัตรเศษซึ่งเป็นการไม่ชอบ แต่หากจะเอาคะแนนของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในหน่วยนี้ออกเสียทั้งหมด ก็ไม่ทำให้ผลของการเลือกตั้งสำหรับผู้ได้รับเลือกตั้งบางคนเปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกและวรรคสาม วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-3/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งที่ผิดพลาดและผลกระทบต่อการเลือกตั้ง สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่เฉพาะราย
บัตรเลือกตั้งที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครแต่เลขไทยหรือเลขอารบิคเพียงเลขใดเลยหนึ่ง ไม่มีลักษณะเป็นบัตรเสียตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 มาตรา 58 แต่มาตรา 49 บัญญัติว่าการลงคะแนนเลือกตั้งให้ใช้วิธีปิดเลขหมายเลขประจำตัวผู้สมัครในบัตรเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงกำหนดว่าเลขหมายประจำตัวผู้สมัครต้องมีเลขไทยและเลขอารบิคควบคู่กันทั้งสองอย่าง ดังนั้น การที่ใช้เพียงเลขใดเลขหนึ่งย่อมถือว่าเป็นเลขหมายประจำตัวผู้สมัครไม่ได้ เพราะเป็นเลขหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง บัตรประเภทนี้จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 49 และใช้นับเป็นคะแนนเลือกตั้งไม่ได้
บัตรที่มีเลขหมายประจำตัวของผู้สมัครบางคนเสียปะปนอยู่ในซองบัตรเลือกตั้งเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งหมด คงเสียเฉพาะเลขหมายที่ไม่ชอบเท่านั้น ส่วนเลขหมายอื่น ๆ ที่ถูกต้องถือว่าเป็นบัตรดี
บัตรที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครคว่ำ ต้องมองกับแสงสว่างจึงเห็นเงาเลขหมาย ถือว่าเป็นบัตรเสียตามมาตรา 58 (2) เพราะอ่านโดยวิธีธรรมดาไม่รู้ว่าเป็นเลขหมายอะไร
แม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนจะปรากฏว่าในหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งมีบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเกินกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 500 บัตร เศษซึ่งเป็นการไม่ชอบ แต่หากจะเอาคะแนนของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในหน่วยนี้ออกเสียทั้งหมด ก็ไม่ทำให้ผลของการเลือกตั้งสำหรับผู้ได้รับเลือกตั้งบางคนเปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกและวรรคสาม วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 - 3/2513)
บัตรที่มีเลขหมายประจำตัวของผู้สมัครบางคนเสียปะปนอยู่ในซองบัตรเลือกตั้งเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งหมด คงเสียเฉพาะเลขหมายที่ไม่ชอบเท่านั้น ส่วนเลขหมายอื่น ๆ ที่ถูกต้องถือว่าเป็นบัตรดี
บัตรที่ปิดเลขหมายประจำตัวผู้สมัครคว่ำ ต้องมองกับแสงสว่างจึงเห็นเงาเลขหมาย ถือว่าเป็นบัตรเสียตามมาตรา 58 (2) เพราะอ่านโดยวิธีธรรมดาไม่รู้ว่าเป็นเลขหมายอะไร
แม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนจะปรากฏว่าในหน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งมีบัตรเลือกตั้งในหีบบัตรเกินกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 500 บัตร เศษซึ่งเป็นการไม่ชอบ แต่หากจะเอาคะแนนของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในหน่วยนี้ออกเสียทั้งหมด ก็ไม่ทำให้ผลของการเลือกตั้งสำหรับผู้ได้รับเลือกตั้งบางคนเปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรกและวรรคสาม วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 - 3/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89-90/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีวันออก สิทธิผู้ทรงเช็ค vs ความผิดฐานออกเช็ค การฟ้องเท็จ
ลักษณะความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือฐานออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าในขณะออกเช็คไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้นั้น สารสำคัญของความผิดทั้งสองฐานนี้อยู่ที่วันออกเช็คคือวันที่สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้น ถ้าเช็ครายใดผู้ออกเช็คไม่ได้ลงวันที่ออกเช็คก็ไม่มีทางที่จะให้ผู้ออกเช็คทราบได้ว่าจะให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นในวันใดซึ่งวันนั้นผู้ออกเช็คจะได้เตรียมเงินไว้ในบัญชีที่ธนาคารอันจะพึงจ่ายเงินตามเช็คนั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเช็คที่ไม่มีวันออกเช็ค ถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 910 ประกอบกับมาตรา 989 จะให้สิทธิผู้ทรงเช็คไว้ว่า ถ้าเช็ครายใดมิได้ลงวันออกเช็ค ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้นั้น กฎหมายเพียงแต่ให้เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คที่มีรายการสมบูรณ์ตามกฎหมายฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น แต่หามีผลที่จะลงโทษผู้ออกเช็คในทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 อนุมาตรา (1) และ (2) ไม่
การที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้ออกเช็คดังกล่าวในวรรคต้น จะถือว่านำความเท็จมาฟ้องต่อศาลว่าผู้ออกเช็คกระทำผิดอาญาไม่ได้เพราะมีเหตุที่ทำให้ผู้ทรงเข้าใจผิดว่า ผู้ทรงเช็คมีสิทธิในอันที่จะลงวันออกเช็คในเช็ครายพิพาทได้
การที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้ออกเช็คดังกล่าวในวรรคต้น จะถือว่านำความเท็จมาฟ้องต่อศาลว่าผู้ออกเช็คกระทำผิดอาญาไม่ได้เพราะมีเหตุที่ทำให้ผู้ทรงเข้าใจผิดว่า ผู้ทรงเช็คมีสิทธิในอันที่จะลงวันออกเช็คในเช็ครายพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89-90/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีวันออก: ไม่เป็นความผิดทางอาญา ผู้ทรงเช็คลงวันได้แต่ไม่ทำให้เกิดความผิด
ลักษณะความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือฐานออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าในขณะออกเช็คไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้นั้น สารสำคัญของความผิดทั้งสองฐานนี้อยู่ที่วันออกเช็ค คือ วันที่สั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คนั้น ถ้าเช็ครายใดผู้ออกเช็คไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ก็ไม่มีทางที่จะให้ผู้ออกเช็คทราบได้ว่าจะให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นในวันใด ซึ่งวันนั้นผู้ออกเช็คจะได้เตรียมเงินไว้ในบัญชีที่ธนาคารอันจะพึงจ่ายเงินตามเช็คนั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เช็คที่ไม่มีวันออกเช็ค ถือได้ว่าไม่มีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 910 ประกอบกับมาตรา 989 จะให้สิทธิผู้ทรงเช็คไว้ว่าถ้าเช็ครายใดมิได้ลงวันออกเช็ค ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริต จะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ นั้น กฎหมายเพียงแต่ให้เช็คฉบับนั้นเป็นเช็คที่มีรายการสมบูรณ์ตามกฎหมายฟ้องร้องบังคัดคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น แต่หามีผลที่จะลงโทษผู้ออกเช็คในทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 อนุมาตรา (1) และ (2) ไม่
การที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้ออกเช็คดังกล่าวในวรรคต้น จะถือว่านำความเท็จมาฟ้องต่อศาลว่าผู้ออกเช็คกระทำผิดอาญาไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ทำให้ผู้ทรงเข้าใจผิดคือสิทธิของผู้ทรงเช็คมีสิทธิในอันที่จะลงวันออกเช็คในเช็ครายพิพาทใด.
การที่ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้ออกเช็คดังกล่าวในวรรคต้น จะถือว่านำความเท็จมาฟ้องต่อศาลว่าผู้ออกเช็คกระทำผิดอาญาไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ทำให้ผู้ทรงเข้าใจผิดคือสิทธิของผู้ทรงเช็คมีสิทธิในอันที่จะลงวันออกเช็คในเช็ครายพิพาทใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86-88/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาเกี่ยวกับเช็ค: เพียงระบุวันออกเช็คและวันที่นำเข้าบัญชีก็เพียงพอ แม้ไม่ระบุวันปฏิเสธ
ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คโดยระบุวันเวลาที่จำเลยออกเช็ค กับวันที่โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์และว่าธนาคารตามเช็คนั้นปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้จะไม่ได้ระบุวันที่ธนาคารปฏิเสธก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86-88/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค: การระบุวันเวลาที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ฟ้องความผิดตามพระราชบัญญัติเช็ค ฯ ไม่จำเป็นต้องระบุวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการที่จำเลยออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น และการปฏิเสธการจ่ายเงินจากธนาคารอันเป็นองค์ประกอบความผิดแล้ว ย่อมเป็นฟ้องสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าในทะเล: เจตนาเล็งเห็นผล แม้ไม่สำเร็จโทษ, อำนาจสอบสวน-พิจารณาคดีในทะเล
จำเลยใช้ปืนลูกซองยาวยิงจากเรือลำหนึ่งไปยังเรือผู้เสียหายกับพวกซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 1 เส้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา (ฆ่า)แต่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บไม่ถึงตาย การกระทำของจำเลยจึงไม่บรรลุผลจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ในกรณีเหตุเกิดในท้องทะเล เมื่อไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในเขตท้องที่ใดแน่พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ผู้เสียหายมาแจ้งย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19(1) และศาลที่ท้องที่สอบสวนนั้นอยู่ในเขตอำนาจ มีอำนาจพิจารณาคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1)(2)
ในกรณีเหตุเกิดในท้องทะเล เมื่อไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในเขตท้องที่ใดแน่พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ผู้เสียหายมาแจ้งย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19(1) และศาลที่ท้องที่สอบสวนนั้นอยู่ในเขตอำนาจ มีอำนาจพิจารณาคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1)(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าในทะเล: อำนาจสอบสวนและพิจารณาคดีเมื่อเกิดเหตุในทะเลหลวง
จำเลยใช้ปืนลูกซองยาวยิงจากเรือลำหนึ่งไปยังเรือผู้เสียหายกับพวกซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 1 เส้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา (ฆ่า) แต่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บไม่ถึงตาย การกระทำของจำเลยจึงไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ในกรณีเหตุเกิดในท้องทะเล เมื่อไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในเขตท้องที่ใดแน่ พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ผู้เสียหายมาแจ้งย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (1) และศาลที่ท้องที่สอบสวนนั้นอยู่ในเขตอำนาจ มีอำนาจพิจารณาคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) (2)
ในกรณีเหตุเกิดในท้องทะเล เมื่อไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในเขตท้องที่ใดแน่ พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ผู้เสียหายมาแจ้งย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (1) และศาลที่ท้องที่สอบสวนนั้นอยู่ในเขตอำนาจ มีอำนาจพิจารณาคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) (2)