คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยง เหลืองรังษี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการแบ่งเงินจากการขายทอดตลาดของเจ้าของร่วมในทรัพย์สินหลังการบังคับคดี
เจ้าของร่วมในทรัพย์ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาดยื่นคำร้องขอแบ่งเงินที่ได้จากการขายภายหลังจากการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174-1175/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ในคดีถูกไล่ออก แม้จำเลยไม่นำสืบ
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยแกล้งใส่ความโจทก์ หาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และแกล้วไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ ถึงแม้ศาลจะสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าโจทก์มีเจตนาทุจริตทำให้จำเลยเสียหายและจำเลยไม่สืบก็ตาม แต่โจทก์ย่อมมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำฟ้องของตนว่า จำเลยแกล้งไล่โจทก์ออกจากงาน เพราะโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174-1175/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ในการฟ้องร้องกรณีถูกกล่าวหาทุจริตและถูกไล่ออก แม้จำเลยไม่นำสืบ
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยแกล้งใส่ความโจทก์ หาว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และแกล้งไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ ถึงแม้ศาลจะสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าโจทก์มีเจตนาทุจริตทำให้จำเลยเสียหายและจำเลยไม่สืบก็ตามแต่โจทก์ย่อมมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำฟ้องของตนว่าจำเลยแกล้งไล่โจทก์ออกจากงาน เพราะโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ และการลดโทษโดยคำนึงถึงการให้การเท็จต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษ เป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั้งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้มอบตัวแก่เจ้าพนักงาน แต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่งอันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและการลดโทษในคดีทำร้ายถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษ เป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั่งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้เข้ามอบตัวแก่เจ้าพนักงานแต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่ง อันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096-1097/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินงอกและเรือนติดต่อกันเป็นส่วนควบ การบังคับจำนองครอบคลุม
เรือน 3 หลังปลูกติดต่อเป็นหลังเดียวกัน ทำรั้วบ้านด้านข้างติดต่อรั้วเดียวกันมีนอกชานด้านหน้าซึ่งทำประตูเข้าไว้ตรงนอกชาน ทั้งปรากฏว่าเจ้าของได้อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเดียวกันมาหลายสิบปี และส่วนของสิ่งปลูกสร้างของเรือนหลังหนึ่งล้ำเข้าไปอยู่ในเรือนของอีกหลังหนึ่ง ตัวเรือนมีชายคาติดต่อต้องใช้รางน้ำร่วมกัน แม้เรือนทั้ง 3 หลังจะปลูกต่างปีกัน ก็ฟังได้ว่าเรือนทั้ง 3 หลังนั้นเป็นส่วนควบซึ่งกันและกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096-1097/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินงอกและเรือนปลูกติดกันเป็นส่วนควบ: การบังคับจำนอง
เรือน 3 หลังปลูกติดต่อเป็นหลังเดียวกัน ทำรั้วบ้านด้านข้างติดต่อรั้วเดียวกันมีนอกชานด้านหน้าซึ่งทำประตูเข้าไว้ตรงนอกชานทั้งปรากฏว่าเจ้าของได้อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเดียวกันมาหลายสิบปีและส่วนของสิ่งปลูกสร้างของเรือนหลังหนึ่งล้ำเข้าไปอยู่ในเรือนของอีกหลังหนึ่ง ตัวเรือนมีชายคาติดต่อต้องใช้รางน้ำร่วมกัน แม้เรือนทั้ง 3 หลังจะปลูกต่างปีกัน ก็ฟังได้ว่าเรือนทั้ง 3 หลังนั้นเป็นส่วนควบซึ่งกันและกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056-1065/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี แม้ข้อตกลงจะไม่ได้ระบุชัดเจน
การตีความแสดงเจตนาต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
โจทย์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้แต่ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อไปอีกโดยกำหนดเวลาเช่าหนึ่งปีหกเดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนี้ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปอีกเพียง 1 ปี 6 เดิอนเท่านั้น แม้สัญญาประนีประนอมจะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจะต้องออกจากที่ดิน ก็ต้องแปลเจตนาของคู่กรณีไปเช่นนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056-1065/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การตีความเจตนาต้องพิจารณาเจตนาแท้จริง แม้ไม่มีข้อตกลงชัดเจน
การตีความแสดงเจตนาต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้แต่ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ โจทก์ยอมให้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อไป อีกโดยกำหนดเวลาเช่าหนึ่งปีหกเดือน เริ่มนับเวลาเช่าตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนี้ แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ผ่อนผันให้จำเลยได้มีโอกาสอยู่ต่อไปอีกเพียง 1 ปี 6 เดือนเท่านั้นแม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้เขียนไว้โดยแจ้งชัดว่าพ้นกำหนด 1 ปี 6 เดือนแล้วจะต้องออกจากที่ดิน ก็ต้องแปลเจตนาของคู่กรณีไปเช่นนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงเพื่อเอาทรัพย์สิน การประสงค์ต่อผล และขอบเขตอำนาจการเรียกร้องค่าเสียหายในคดีอาญา
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล คือ การทำงานของผู้ที่ถูกหลอกให้ประกอบการงานให้แก่ตนหรือบุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน ฯลฯ
เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยหลอกเพื่อให้ส่งเงินเท่านั้น ไม่ได้หลอกให้ทำงานเพราะไม่มีงานให้ทำ จึงไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประสงค์ต่อผลตามมาตรา 344 จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
พนักงานอัยการไม่มีอำนาจที่จะขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานที่จำเลยยังไม่จ่ายให้แก่ผู้เสียหาย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 43 เพราะค่าแรงงานหรือค่าจ้างไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเรียกร้องคืน แต่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยใช้ในทางแพ่ง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 บัญญัติให้ลงโทษผู้กระทำผิดฐานหลอกลวงประชาชน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลอกลวง ช.กับพวกรวม 10 คน ไม่ได้ฟ้องว่าหลอกลวงประชาชน จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เท่านั้น แม้จะมิได้มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะปรับบทลงโทษที่ถูกได้
of 116