พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีทรัพย์สินร่วม: เจ้าหนี้มีสิทธิยึดขายทอดตลาดทั้งหมดได้ แม้มีเจ้าของร่วม
เมื่อจำเลยกับผู้ร้องเป็นเจ้าของที่งอกร่วมกันโดยยังมิได้แบ่งส่วนเช่นนี้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดที่งอกได้ทั้งแปลง เรื่องเช่นนี้ แม้แต่ในกรณีระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ ถ้าไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์กันอย่างไรแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ก็ต้องขายไปทั้งแปลงเช่นเดียวกัน
เจ้าของรวมย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมในทางการบังคับคดีได้
เจ้าของรวมย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมในทางการบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบของคำพิพากษาในคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และการใช้ดุลพินิจเรื่องค่าเสียหายและค่าทนาย
มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับ ทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับ ทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาต่อบุคคลภายนอก และดุลพินิจการลดค่าเสียหาย/ค่าทนาย
มาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันถึงบุคคลภายนอกคดีด้วย
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียง 2 ปี แทนที่จะเป็น 5 ปีดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วศาลอุทธรณ์จึงใช้ดุลพินิจให้ค่าทนายเป็นพับทั้งๆ ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369-1370/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันฆ่าผู้อื่น: การกระทำโดยเจตนา และการสนับสนุนความผิดอาญา
จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้ปืนยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ โดดจากเรือนไปพร้อมจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 2,3 รู้เห็นมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่1 การที่จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ แสดงว่าจำเลยที่2,3 พร้อมที่จะช่วยจำเลยที่ 1 ได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายแล้ว ตอนหนีกลับจำเลยทั้งสามยังหนีกลับมาทางเดียวพร้อมกันอีกจึงนับว่าจำเลยที่ 2,3ได้ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 เป็นตัวการฆ่าผู้ตายด้วยกัน
โทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากัน การที่จะใช้กฎหมายใหม่ขึ้นบังคับปรับบทก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย(อ้างฎีกาที่ 1630/2500,1814/2500)
โทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากัน การที่จะใช้กฎหมายใหม่ขึ้นบังคับปรับบทก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย(อ้างฎีกาที่ 1630/2500,1814/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369-1370/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการฆ่า: การกระทำร่วมกันและเจตนาในการกระทำผิด
จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้ปืนยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ โดดจากเรือนไปพร้อมจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 2,3 รู้เห็น มีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ แสดงว่าจำเลยที่ 2,3 พร้อมที่จะช่วยจำเลยที่ 1 ได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายแล้ว ตอนหนีกลับจำเลยทั้งสามยังหนีกลับมาทางเดียวพร้อมกันอีก จึงนับว่าจำเลยที่ 2,3 ได้ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 เป็นตัวการฆ่าผู้ตายด้วยกัน
โทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากัน การที่จะใช้กฎหมายใหม่ขึ้นบังคับปรับบทก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย
(อ้างฎีกาที่ 1630/2500,1814/2500)
โทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากัน การที่จะใช้กฎหมายใหม่ขึ้นบังคับปรับบทก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย
(อ้างฎีกาที่ 1630/2500,1814/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเรียกบุคคลภายนอกเป็นคู่ความต้องแจ้งเหตุผลล่าช้า หากไม่แจ้งศาลย่อมยกคำร้อง
การยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความภายหลังยื่นฟ้องหรือคำให้การแล้ว จำต้องชี้แจ้งเหตุผลประกอบให้ปรากฏด้วยว่า เหตุใดจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอหมายเรียกเสียเมื่อแรกยื่นฟ้อง ทั้งนี้ เพื่อศาลจะได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะให้ออกหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความด้วยหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นโจทก์ด้วย โดยอ้างแต่เหตุเพื่อคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของตนแต่ประการเดียว ส่วนเหตุผลที่มายื่นคำร้องล่วงเลยล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างไว้เลย เช่นนี้ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นเสีย (อ้างฎีกาที่ 706/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเรียกบุคคลภายนอกเป็นคู่ความต้องแสดงเหตุผลความล่าช้า หากไม่ทำ ศาลย่อมยกคำร้องได้
การยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความภายหลังยื่นฟ้องหรือคำให้การแล้ว จำต้องชี้แจงเหตุผลประกอบให้ปรากฏด้วยว่าเหตุใดจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอหมายเรียกเสียเมื่อแรกยื่นฟ้อง ทั้งนี้ เพื่อศาลจะได้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรที่จะให้ออกหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความด้วยหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นโจทก์ด้วย โดยอ้างแต่เหตุเพื่อคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของตนแต่ประการเดียว ส่วนเหตุผลที่มายื่นคำร้องล่วงเลยล่าช้า ไม่ได้กล่าวอ้างไว้เลย เช่นนี้ ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของโจทก์นั้นเสีย (อ้างฎีกาที่ 706/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรู้ร่วมคิดชิงทรัพย์และการแยกทางก่อนเกิดเหตุร้าย ผู้ร่วมกระทำผิดไม่ต้องรับผิดต่อเหตุร้ายนั้น
จำเลยสมคบกับนายสมศักดิ์ทำการชิงทรัพย์ แล้วพากันหลบหนี นายสมศักดิ์ได้ใช้มีดแทงสิบตำรวจโทแม้นถึงแก่ความตายเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นการจับกุม เมื่อได้แยกทางกับจำเลยไปคนละทิศละทางแล้ว ถือได้ว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการชิงทรัพย์ของจำเลยและนายสมศักดิ์ขาดตอนจากกันแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรค 2 โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทที่มีอัตราโทษหนักกว่า ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคงผิดมาตรา 339 วรรค 2 ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรค 2 โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทที่มีอัตราโทษหนักกว่า ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคงผิดมาตรา 339 วรรค 2 ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาของผู้ร่วมกระทำชิงทรัพย์ เมื่อเหตุการณ์ขาดตอนจากกัน และขอบเขตการอุทธรณ์โทษ
จำเลยสมคบกับนายสมศักดิ์ทำการชิงทรัพย์ แล้วพากันหลบหนีนายสมศักดิ์ได้ใช้มีดแทงสิบตำรวจโทแม้นถึงแก่ความตายเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นการจับกุม เมื่อได้แยกทางกับจำเลยไปคนละทิศละทางแล้ว ถือได้ว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการชิงทรัพย์ของจำเลยและนายสมศักดิ์ขาดตอนจากกันแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339วรรคสอง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทที่มีอัตราโทษหนักกว่า ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคงผิดมาตรา 339 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339วรรคสอง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทที่มีอัตราโทษหนักกว่า ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคงผิดมาตรา 339 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เช่า: กรณีจำเลยรุกล้ำพื้นที่เช่าที่สิ่งปลูกสร้างมีอยู่ก่อน ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้อง
ผู้เช่าไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าการที่จะจัดการให้จำเลยผู้ซึ่งไม่ได้เช่าที่ดินส่วนนั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าของที่ดิน ผู้เช่าไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างฎีกาที่ 774-776/2505)
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโจทก์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อโต้เถียงอื่นๆ ต่อไป
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโจทก์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อโต้เถียงอื่นๆ ต่อไป