พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแทนผู้เยาว์: บิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส/จดทะเบียนบุตร ไม่มีอำนาจฟ้องแทน
บิดาของผู้เยาว์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ ทั้งไม่ได้จดทะเบียนว่าผู้เยาว์เป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์เป็นบุตร ไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ที่จะมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5(1)
แม้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว บิดาของผู้เยาว์ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ บิดาของผู้เยาว์ก็เพิ่งจะมีอำนาจปกครองผู้เยาว์นับแต่วันจดทะเบียนสมรส เมื่อขณะยื่นฟ้อง บิดาของผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้
แม้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว บิดาของผู้เยาว์ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ บิดาของผู้เยาว์ก็เพิ่งจะมีอำนาจปกครองผู้เยาว์นับแต่วันจดทะเบียนสมรส เมื่อขณะยื่นฟ้อง บิดาของผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์: บิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส/บุตร ไม่มีอำนาจฟ้อง
บิดาของผู้เยาว์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ ทั้งไม่ได้จดทะเบียนว่าผู้เยาว์เป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์เป็นบุตร ไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ที่จะมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(1)
แม้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว บิดาของผู้เยาว์ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ บิดาของผู้เยาว์ก็เพิ่งจะมีอำนาจปกครองผู้เยาว์นับแต่วันจดทะเบียนสมรส เมื่อขณะยื่นฟ้อง บิดาของผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม ของผู้เยาว์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้
แม้ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว บิดาของผู้เยาว์ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ บิดาของผู้เยาว์ก็เพิ่งจะมีอำนาจปกครองผู้เยาว์นับแต่วันจดทะเบียนสมรส เมื่อขณะยื่นฟ้อง บิดาของผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม ของผู้เยาว์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สัญชาติและอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้ง สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว. แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง. เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น. ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้.
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า. ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480. เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า. ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี. เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา. หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว. ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง. เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ. จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด. ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้.
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า. ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480. เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า. ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี. เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา. หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว. ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง. เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ. จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด. ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. - สัญชาติบิดาและอายุ - หลักฐานทะเบียนเป็นเกณฑ์
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถามศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถึงวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ไม่
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถามศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถึงวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. เรื่องสัญชาติบิดาและอายุ ผู้ร้องต้องมีหลักฐานชัดเจน
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติจึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติจึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: สิทธิคิดดอกเบี้ยสิ้นสุดเมื่อสัญญาหมดอายุ
โจทก์ (ธนาคาร) ตกลงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระดอกเบี้ยรายเดือน. ถ้าไม่ชำระ.ยอมให้เอาดอกเบี้ยทบต้นและจะชำระเงินคืนใน 30เมษายน 2495 ครั้นถึงกำหนดดังกล่าว. โจทก์มีหนังสือไปทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดในวันที่30 เมษายน 2495. หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: สิทธิคิดดอกเบี้ยสิ้นสุดเมื่อสัญญาหมดอายุ
โจทก์ (ธนาคาร) ตกลงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระดอกเบี้ยรายเดือน ถ้าไม่ชำระยอมให้เอาดอกเบี้ยทบต้นและจะชำระเงินคืนใน 30 เมษายน 2495 ครั้นถึงกำหนดดังกล่าว โจทก์มีหนังสือไปทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2495 หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นหลังสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุด: สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยธรรมดา
โจทก์ (ธนาคาร) ตกลงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระดอกเบี้ยรายเดือน ถ้าไม่ชำระยอมให้เอาดอกเบี้ยทบต้นและจะชำระคืนใน 30 เมษายน 2495 ครั้งถึงกำหนดดังกล่าว โจทก์มีหนังสือไปทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2495 หลักจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากเงินเพื่อลงทุนโดยผิดกฎหมายธนาคารพาณิชย์ สัญญาไม่เป็นโมฆะหากผู้ฝากไม่รู้เห็น
การประกอบกิจการรับฝากเงินซึ่งต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม โดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ฝากเป็นดอกเบี้ย. และใช้ประโยชน์เงินฝากนั้นในการให้พ่อค้าและผู้รู้จักชอบพอกู้ยืมโดยเรียกค่านายหน้าค่ารางวัล และดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมมีจำนวนสูงกว่าดอกเบี้ยที่จะจ่ายแก่ผู้ฝาก. หากกระทำเป็นปกติธุระย่อมเป็นการประกอบการธนาคารพาณิชย์ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย.
การใดอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายซึ่งตกเป็นโมฆะกรรมนั้น ในสัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมทำโดยบุคคลสองฝ่าย. ประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมรู้กัน จึงจะเป็นวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมสัญญานั้น.ถ้าคู่สัญญาแต่ฝ่ายเดียวรู้ถึงการกระทำของตนว่าเป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย. โดยอีกฝ่ายมิได้ร่วมรู้ด้วย. จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายหาได้ไม่.
แม้ผู้รับฝากเงินจะประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาต. แต่ผู้ฝากมิได้ร่วมรู้.ในการกระทำของผู้รับฝากซึ่งมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย. ดังนี้นิติกรรมรับฝากเงินระหว่างผู้ฝากกับผู้รับฝากย่อมไม่เป็นโมฆะ. ผู้ฝากมีสิทธิเรียกเงินฝากคืนจากผู้รับฝากได้.
คดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 ใช้บังคับ. และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลหรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์. แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากใช้บังคับพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว. ค่าธรรมเนียมในการอุทธรณ์ฎีกาก็ยังคงเสียตามอัตราเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483.
การใดอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายซึ่งตกเป็นโมฆะกรรมนั้น ในสัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมทำโดยบุคคลสองฝ่าย. ประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมรู้กัน จึงจะเป็นวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมสัญญานั้น.ถ้าคู่สัญญาแต่ฝ่ายเดียวรู้ถึงการกระทำของตนว่าเป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย. โดยอีกฝ่ายมิได้ร่วมรู้ด้วย. จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายหาได้ไม่.
แม้ผู้รับฝากเงินจะประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาต. แต่ผู้ฝากมิได้ร่วมรู้.ในการกระทำของผู้รับฝากซึ่งมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย. ดังนี้นิติกรรมรับฝากเงินระหว่างผู้ฝากกับผู้รับฝากย่อมไม่เป็นโมฆะ. ผู้ฝากมีสิทธิเรียกเงินฝากคืนจากผู้รับฝากได้.
คดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 ใช้บังคับ. และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลหรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์. แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากใช้บังคับพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว. ค่าธรรมเนียมในการอุทธรณ์ฎีกาก็ยังคงเสียตามอัตราเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากเงินประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลกระทบต่อสิทธิผู้ฝาก เงินฝากไม่เป็นโมฆะหากผู้ฝากไม่รู้
การประกอบกิจการรับฝากเงินซึ่งต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม โดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ฝากเป็นดอกเบี้ย และใช้ประโยชน์เงินฝากนั้นในการให้พ่อค้าและผู้รู้จักชอบพอกู้ยืมโดยเรียกค่านายหน้าค่ารางวัล และดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมมีจำนวนสูงกว่าดอกเบี้ยที่จะจ่ายแก่ผู้ฝาก หากกระทำเป็นปกติธุระย่อมเป็นการประกอบการธนาคารพาณิชย์ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
การใดอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายซึ่งตกเป็นโมฆะกรรมนั้น ในสัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมทำโดยบุคคลสองฝ่าย ประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมรู้กัน จึงจะเป็นวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมสัญญานั้นถ้าคู่สัญญาแต่ฝ่ายเดียวรู้ถึงการกระทำของตนว่าเป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย โดยอีกฝ่ายมิได้ร่วมรู้ด้วย จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายหาได้ไม่
แม้ผู้รับฝากเงินจะประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาตแต่ผู้ฝากมิได้ร่วมรู้ ในการกระทำของผู้รับฝากซึ่งมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย ดังนี้นิติกรรมรับฝากเงินระหว่างผู้ฝากกับผู้รับฝากย่อมไม่เป็นโมฆะ ผู้ฝากมีสิทธิเรียกเงินฝากคืนจากผู้รับฝากได้
คดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 ใช้บังคับ และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลหรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากใช้บังคับพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว ค่าธรรมเนียมในการอุทธรณ์ฎีกาก็ยังคงเสียตามอัตราเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
การใดอันมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายซึ่งตกเป็นโมฆะกรรมนั้น ในสัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมทำโดยบุคคลสองฝ่าย ประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมรู้กัน จึงจะเป็นวัตถุที่ประสงค์ของนิติกรรมสัญญานั้นถ้าคู่สัญญาแต่ฝ่ายเดียวรู้ถึงการกระทำของตนว่าเป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย โดยอีกฝ่ายมิได้ร่วมรู้ด้วย จะถือว่านิติกรรมสัญญานั้นมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมายหาได้ไม่
แม้ผู้รับฝากเงินจะประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยมิได้รับอนุญาตแต่ผู้ฝากมิได้ร่วมรู้ ในการกระทำของผู้รับฝากซึ่งมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย ดังนี้นิติกรรมรับฝากเงินระหว่างผู้ฝากกับผู้รับฝากย่อมไม่เป็นโมฆะ ผู้ฝากมีสิทธิเรียกเงินฝากคืนจากผู้รับฝากได้
คดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 ใช้บังคับ และยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลหรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แม้จะมีการอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากใช้บังคับพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว ค่าธรรมเนียมในการอุทธรณ์ฎีกาก็ยังคงเสียตามอัตราเดิมที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483