พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินของคนต่างด้าว: การไม่อนุญาตตามกฎหมายทำให้การจดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้ครอบครองนาน
ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. 2486 นั้น คนต่างด้าวจะมีที่ดินได้ต้องได้รับอนุญาตก่อน ฉะนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนำสืบไม่ได้ว่าได้รับอนุญาตให้มีที่ดินได้ตามกฎหมายแล้ว แม้ตนจะได้จดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม และได้ครอบครองที่ดินมากว่า 10 ปีแล้ว ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คนต่างด้าวถือครองที่ดินต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แม้จดทะเบียนและครอบครองนาน ก็ไม่เกิดกรรมสิทธิ์หากไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวพ.ศ.2486 นั้น คนต่างด้าวจะมีที่ดินได้ต้องได้รับอนุญาตก่อนฉะนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนำสืบไม่ได้ว่าได้รับอนุญาตให้มีที่ดินได้ตามกฎหมายแล้ว แม้ตนจะได้จดทะเบียนสิทธิหรือนิติกรรม และได้ครอบครองที่ดินมากว่า10 ปีก็ตาม ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมยังไม่ถึงขั้นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงยังใช้เป็นพยานหลักฐานได้
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งไม่ได้ระบุถึงข้อตกลงว่าจะแบ่งกันอย่างไร และให้กันเพราะเหตุใด นั้น ถือว่าเป็นเพียงพฤติการณ์ที่แสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงไม่ใช่เอกสารที่ต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 (ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ผูกพันคู่ความ
เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งไม่ได้ระบุถึงข้อตกลงว่าจะแบ่งกันอย่างไร และให้กันเพราะเหตุใดนั้น ถือว่าเป็นเพียงพฤติการณ์ที่แสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้นยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันจึงไม่ใช่เอกสารที่ต้องห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการพิสูจน์สัญชาติไทยของผู้เข้าเมือง และการเกิดข้อพิพาทสิทธิสัญชาติหลังถูกโต้แย้ง
บุคคลใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร อ้างว่าเป็นคนไทย บุคคลนั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลก็ได้ ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้อง่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย จนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับ ดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตาม ก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้อง่ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย จนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับ ดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตาม ก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิสัญชาติไทย: การพิสูจน์สัญชาติของผู้เข้ามาในราชอาณาจักรและการโต้แย้งสิทธิ
บุคคลใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร อ้างว่าเป็นคนไทยบุคคลนั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลก็ได้ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมายจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยจนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตามก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้
ได้ความว่า โจทก์เดินทางเข้ามาถึงประเทศไทยได้ 3 วัน ก็ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมือง อ้างว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยแต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์อยู่โดยมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยระงับเพิกถอนคำสั่งและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทยตามกฎหมายจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยจนศาลได้ทำการพิจารณาคดีมาโดยลำดับดังนี้ แม้จะได้ความว่าเมื่อก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ได้โต้แย้งสิทธิในเรื่องสัญชาติของโจทก์มาก่อนก็ตามก็เป็นอันผ่านไปได้ เพราะเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติระหว่างคู่ความในคดีแล้ว ศาลพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทในเรื่องสัญชาติไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีจากสถานที่พักอาศัยชั่วคราว ไม่ถือเป็นสถานการค้าตามกฎหมายภาษีอากร
โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพระนคร ได้รับอนุญาตให้ทำไม้หมอนจากป่าโครงการของการรถไฟที่ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการทำไม้หมอน โจทก์ต้องเดินทางจากจังหวัดพระนคร ไปควบคุมดูแลกิจการเป็นครั้งคราว เมื่อตรวจดูกิจการในตอนกลางวันแล้ว ในตอนกลางคืนก็กลับมาอาศัยพักนอนที่บ้านนายสุรินทร์ ปฏิบัติเช่นนี้เดินละครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง และครั้งหนึ่งเป็นเวลา 3-4 วัน โดยไม่เสียค่าเช่าพักแก่เจ้าของบ้าน ดังนี้ บ้านของนายสุรินทร์ที่โจทก์มาอาศัยครั้งคราว ย่อมไม่เป็นสถานการค้าของโจทก์ตามความหมายของมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ซึ่งใช้อยู่ในระหว่างปีประเมินเก็บค่าภาษีจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้บ้านพักเป็นสถานการค้าตามประมวลรัษฎากร: การควบคุมดูแลกิจการทำไม้หมอน
โจทก์มีภูมิลำเนาในพระนครแต่ทำไม้หมอนจากป่าในจังหวัดสุราษฎร์ธานีส่งให้การรถไฟ ค่าไม้หมอนจ่ายกันที่พระนครโจทก์ต้องไปควบคุมดูแลกิจการทำไม้หมอน เดือนละครั้งสองครั้งครั้งละ 3-4 วันเนื่องจากที่พักคนงานอยู่ในป่าห่างตลาดราว 10 กิโลเมตร เมื่อตรวจดูกิจการแล้วโจทก์ก็กลับมาอาศัยค้างคืนที่บ้านของ ส. ในตลาดตามปกติโจทก์ไปจ่ายค่าจ้างคนงานที่ในป่า แต่มีอยู่บ้างที่คนงานมาขอรับเงินจากโจทก์ในขณะที่พักอยู่ที่บ้านของ ส. ดังนี้จะถือว่าโจทก์ใช้บ้านของ ส.เป็นสถานการค้าตามเจตนารมณ์ของมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากรตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 10 พ.ศ.2496 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ตกลงกันเอง มีผลเป็นหนี้ค้างชำระ แม้ฐานะเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจขอเปลี่ยนแปลงได้
การตกลงยอมความกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกันเองโดยศาลมิได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น หากต่อมาปรากฏว่าพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 ได้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดู: หนี้ค้างชำระตามสัญญา แม้ฐานะเปลี่ยนแปลง ก็ยังต้องชำระ
การตกลงยอมความกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกันเองโดยศาลมิได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น หากต่อมาปรากฏว่าพฤติการณ์รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป ก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1596 ได้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลจะสั่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1596 นั้น ต้องเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จะพึงต้องชำระในอนาคต จะสั่งย้อนไปเกี่ยวกับเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอยู่ก่อนแล้วหาได้ไม่
การที่บุคคลจะไม่ต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1595 นั้น มุ่งหมายสำหรับงวดกาลข้างหน้าเท่านั้น ส่วนการอุปการเลี้ยงดูที่ค้างเกี่ยวอยู่ในครั้งอดีตนั้น ยังคงตกเป็นภาระในอันที่จะต้องรับผิดต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง