พบผลลัพธ์ทั้งหมด 203 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 187/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจจับกุมในที่รโหฐาน: กรณีความผิดลหุโทษและเหตุฉุกเฉินที่ไม่เพียงพอ
การจับในที่รโหฐาน ในเวลากลางคืนโดยไม่มีหมายจับนั้น เมื่อพฤติการณ์ปรากฎว่าความผิดซึ่งหน้าซึ่งจำเลยผู้ถูกจับได้กระทำแล้วหลบหนีเข้าไปเป็นเพียงความผิดฐานลหุโทษ ตำรวจผู้จับรู้จักจำเลยและหลักแหล่งของจำเลยมาก่อน ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยจะหลบหนีต่อไป เช่นนี้ ก็ไม่เป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46(2) จ่าสิบตำรวจ สิบตำรวจโท และพลตำรวจ จึงไม่มีอำนาจเข้าไปจับ การเข้าไปจับโดยไม่มีอำนาจเช่นนี้ จำเลยย่อมกระทำการป้องกันได้ และเมื่อไม่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยก็ไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คยังไม่สมบูรณ์: เงื่อนไขจำนองไม่สำเร็จ ผู้รับเช็คทราบแต่ยังขอขึ้นเงิน ผู้ออกเช็คไม่มีความผิด
ออกเช็คโดยมีข้อตกลงกันไว้ว่า ให้เกิดมูลหนี้ต่อกันขึ้นต่อเมื่อผู้ออกเช็คได้จำนองที่ดินได้เงินมาจากธนาคารแล้ว การที่ผู้เสียหายกลับนำเช็คนั้นไปขอรับเงินจากธนาคารโดยรู้อยู่แล้วว่าผู้ออกเช็คยังทำจำนองไม่ได้เช่นนี้ ต้องถือว่าเช็คนั้นยังไม่สมบูรณ์และยังไม่ถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คผู้ออกเช็คยังไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินริมน้ำฟ้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกีดขวาง แม้ที่ดินนั้นเป็นสาธารณสมบัติ
เจ้าของที่ดินซึ่งมีเขตจดแม่น้ำ มีสิทธิฟ้องผู้ที่ปลูกเรือนอยู่ในที่ชายตลิ่งกีดขวางปิดกั้นหน้าที่ดินนั้นให้รื้อถอนเรือนออกไปได้แม้ที่ๆ ปลูกเรือนจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ตามผู้ซื้อที่ดินที่มีเขตจดแม่น้ำยอมให้ผู้ขาย ซึ่งมีเรือนปลูกอยู่ในที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินนั้นคงอยู่ต่อไปได้ 1 ปีจึงจะรื้อถอนไป ความยินยอมนี้ถือได้เพียงว่าไม่มีการละเมิดในระยะเวลาดังกล่าวนั้น เมื่อผู้ซื้อบอกกล่าวให้ผู้ขายรื้อถอนไปแล้ว ผู้ขายยังขัดขืน ผู้ซื้อฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำให้แท้งบุตรโดยยินยอม ผู้ตายรกหลุดจากมดลูก ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ทำให้หญิงมีครรภ์แท้งโดยหยิงยินยอม หญิงตายในเวลาใกล้ๆกัน เพราะรกหลุดจากผนังมดลูก โดยถูกของแข็งกดมดลูกเลือดออกภายในมดลูกมากทนเจ็บปวดไม่ได้แพทย์ผ่ามดลูกพบเด็กอาการ 32 ครบ อายุประมาณ 3 เดือน ตายแล้วเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัดพยานหลักฐาน: พิจารณาผลกระทบต่อรูปคดีก่อน
การที่ศาลจะใช้อำนาจตามความในมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น จะต้องพิจารณาว่าพยานหลักฐานที่ศาลจะสั่งตัดเสียนั้น ถ้าได้นำมาสืบแล้วอาจจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นการแน่นอนว่าไม่อาจทำให้เปลี่ยนแปลงได้แล้ว ก็ชอบที่จะได้ให้โอกาสคู่ความนำพยานนั้นเข้าสืบต่อไปจนสิ้นกระแสความ
พฤติการณ์ที่ยังถือไม่ได้ว่าคู่ความประวิงคดีและเป็นความผิดของคู่ความเองที่ไม่ดำเนินการให้ได้พยานมาสืบ
พฤติการณ์ที่ยังถือไม่ได้ว่าคู่ความประวิงคดีและเป็นความผิดของคู่ความเองที่ไม่ดำเนินการให้ได้พยานมาสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเป็นประกันหนี้ การแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครอง และสิทธิในการเรียกคืน
กู้เงิน ทำหนังสือกู้กันเองตกลงให้ผู้ให้กู้ ครอบครองที่นาไว้เป็นประกัน และทำต่างดอกเบี้ย การที่ผู้ให้กู้เอาที่นานั้นแจ้งการครอบครองแบบ ส.ค. 1 ว่าเป็นของตนเสียนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
ผู้ให้กู้รับมอบนาพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ไว้เบี้ยประกันหนี้และทำต่างดอกเบี้ยโดยตกลงกันเองมิได้ทำให้ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการประกันด้วยทรัพย์ ย่อมไม่มีผลทำให้เกิดทรัพย์สิทธิเหนือนาพิพาทอันจะทำให้มีอำนาจยึดหน่วงนาพิพาทตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์มาตรา 241 วรรค 2 ผู้ให้กู้ต้องคืนนาพิพาทให้ผู้กู้
ผู้กู้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ให้กู้ขอให้รับชำระหนี้ 280 บาทและคืนที่นาที่มอบไว้เป็นประกันและทำต่างดอกเบี้ยตามสัญญาที่ทำกันเอง ผู้ให้กู้ให้การว่า หนี้จำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ได้ฟ้องแย้งเข้ามา ศาลคงบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้เท่าที่กล่าวในฟ้อง ส่วนจำนวนหนี้ยังค้างอยู่เป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้จะต้องไปว่ากล่าวเอากับผู้กู้เพื่อให้ชำระจนสิ้นเชิงในฐานะเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 214 เป็นอีกเรื่องต่างหาก
ผู้ให้กู้รับมอบนาพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ไว้เบี้ยประกันหนี้และทำต่างดอกเบี้ยโดยตกลงกันเองมิได้ทำให้ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการประกันด้วยทรัพย์ ย่อมไม่มีผลทำให้เกิดทรัพย์สิทธิเหนือนาพิพาทอันจะทำให้มีอำนาจยึดหน่วงนาพิพาทตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์มาตรา 241 วรรค 2 ผู้ให้กู้ต้องคืนนาพิพาทให้ผู้กู้
ผู้กู้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ให้กู้ขอให้รับชำระหนี้ 280 บาทและคืนที่นาที่มอบไว้เป็นประกันและทำต่างดอกเบี้ยตามสัญญาที่ทำกันเอง ผู้ให้กู้ให้การว่า หนี้จำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ได้ฟ้องแย้งเข้ามา ศาลคงบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้เท่าที่กล่าวในฟ้อง ส่วนจำนวนหนี้ยังค้างอยู่เป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้จะต้องไปว่ากล่าวเอากับผู้กู้เพื่อให้ชำระจนสิ้นเชิงในฐานะเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 214 เป็นอีกเรื่องต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองทางพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการคืนที่ดินที่ใช้เป็นประกัน
กู้เงินทำหนังสือกู้กันเองตกลงให้ผู้ให้กู้ครอบครองที่นาไว้เป็นประกัน และทำต่างดอกเบี้ย การที่ผู้ให้กู้เอาที่นานั้นแจ้งการครอบครองแบบ ส.ค.1 ว่าเป็นของตนเสียนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
ผู้ให้กู้รับมอบนาพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นประกันหนี้และทำต่างดอกเบี้ยโดยตกลงกันเองมิได้ทำให้ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการประกันด้วยทรัพย์ ย่อมไม่มีผลทำให้เกิดทรัพย์สิทธิเหนือนาพิพาทอันจะทำให้มีอำนาจยึดหน่วงนาพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 วรรคสอง ผู้ให้กู้ต้องคืนนาพิพาทให้ผู้กู้
ผู้กู้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ให้กู้ขอให้รับชำระหนี้ 280 บาทและคืนที่นาที่มอบไว้เป็นประกันและทำต่างดอกเบี้ยตามสัญญาที่ทำกันเอง ผู้ให้กู้ให้การว่า หนี้มีจำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ได้ฟ้องแย้งเข้ามา ศาลคงบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้เท่าที่กล่าวในฟ้อง ส่วนจำนวนหนี้ยังค้างอยู่เป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้จะต้องไปว่ากล่าวเอากับผู้กู้เพื่อให้ชำระจนสิ้นเชิงในฐานะเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 เป็นอีกเรื่องต่างหาก
ผู้ให้กู้รับมอบนาพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นประกันหนี้และทำต่างดอกเบี้ยโดยตกลงกันเองมิได้ทำให้ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการประกันด้วยทรัพย์ ย่อมไม่มีผลทำให้เกิดทรัพย์สิทธิเหนือนาพิพาทอันจะทำให้มีอำนาจยึดหน่วงนาพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 วรรคสอง ผู้ให้กู้ต้องคืนนาพิพาทให้ผู้กู้
ผู้กู้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ให้กู้ขอให้รับชำระหนี้ 280 บาทและคืนที่นาที่มอบไว้เป็นประกันและทำต่างดอกเบี้ยตามสัญญาที่ทำกันเอง ผู้ให้กู้ให้การว่า หนี้มีจำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ได้ฟ้องแย้งเข้ามา ศาลคงบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้เท่าที่กล่าวในฟ้อง ส่วนจำนวนหนี้ยังค้างอยู่เป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้จะต้องไปว่ากล่าวเอากับผู้กู้เพื่อให้ชำระจนสิ้นเชิงในฐานะเจ้าหนี้สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 เป็นอีกเรื่องต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรหลังการรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมาย: สิทธิในการกำหนดที่อยู่ของบุตรเป็นของผู้ใช้อำนาจปกครอง
(1) เมื่อคู่ความรับกันว่า ศาลได้พิพากษาในอีกคดีหนึ่งถึงที่สุดแล้วว่าบุตรเป็นของบิดา แล้วต่างไม่สืบพยาน เป็นแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยต่อไปตามท้องสำนวนคดีนี้ที่มีมาในประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจตามกฎหมายเรียกบุตรคืนจากจำเลย (หมายถึงบิดา) หรือไม่ หาใช่เป็นการท้ากันแต่เพียงว่า ถ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์จำเลย ซึ่งทำให้ฟ้องคดีต่อศาลได้แล้ว ก็ให้โจทก์ชนะคดีไม่ยาก แต่ขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามท้องสำนวนว่าจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยส่งเด็กชายสุรินทร์หรือไม่ ทำให้จำเลยมีนิติสัมพันธ์ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์หรือไม่ (2) เมื่อคดีที่รับกันนั้นฟังได้ว่าบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองซึ่งมาตรา1537 บัญญัติว่าอำนาจนี้อยู่แก่บิดา และให้ผู้ใช้อำนาจนี้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร แต่โจทก์หามีสิทธิเช่นว่านี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเด็กชายสุรินทร์จากจำเลย จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดีตามข้อตกลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการปกครองบุตรหลังการรับรองบุตรชอบด้วยกฎหมาย: อำนาจของบิดาและการเรียกร้องบุตรคืนจากผู้ใช้อำนาจปกครอง
(1) เมื่อคู่ความรับกันว่า ศาลได้พิพากษาในอีกคดีหนึ่งถึงที่สุดแล้วว่าบุตรเป็นของบิดา แล้วต่างไม่สืบพยาน เป็นแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยต่อไปตามท้องสำนวนของคดีนี้ที่มีมาในประเด็นว่า โจทก์มีอำนาจตามกฎหมายเรียกบุตรคืนจากจำเลย (หมายถึงบิดา) หรือไม่ หาใช่เป็นการถ้ากันแต่เพียงว่า ถ้ามีข้อได้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์จำเลยซึ่งทำให้ต้องคดีต่อศาลได้แล้วก็ให้โจทก์ชนะคดีไม่ขาดแต่ขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามฟ้องสำนวนว่าจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยส่งเด็กชายสุรินทร์หรือไม่ ทำให้จำเลยมีนิติสัมพันธ์ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์หรือไม่
(2) เมื่อคดีที่รับกันนั้นฟังได้ว่าบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองซึ่งมาตรา + บัญญัติว่าอำนาจนี้อยู่แก่บิดา และให้ผู้ใช้อำนาจนี้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร แก่โจทก์มามีสิทธิเช่นว่านี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเด็กชายสุรินทร์จากจำเลย จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดีตามข้อตกลง
(2) เมื่อคดีที่รับกันนั้นฟังได้ว่าบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองซึ่งมาตรา + บัญญัติว่าอำนาจนี้อยู่แก่บิดา และให้ผู้ใช้อำนาจนี้มีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร แก่โจทก์มามีสิทธิเช่นว่านี้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเด็กชายสุรินทร์จากจำเลย จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเด็กชายสุรินทร์แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดีตามข้อตกลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนมรดกตามพินัยกรรม และอำนาจฟ้องคดีครอบครองที่ดิน
(1) เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตาย ที่ดินซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมทันทีตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1673 โดยมิพักต้องทำพิธีรับมรดก และหรือเข้าครอบครองที่ดินนั้น โดยเหตุนี้ เจ้าของที่ดินเช่นว่านี้ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่ผู้อาศัย
(2) ใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่นั้น ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(3) เนื่องจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลเรียกจำเลยเข้ามาในคดี อันเป็นอำนาจที่โจทก์และศาลจะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 ดังนั้น ฎีกาจำเลยที่ว่าก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวจำเลยร่วมและโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิของจำเลย จึงฟังไม่ขึ้น
ป.พ.พ. มาตรา 1673 โดยมิพักต้องทำพิธีรับมรดก และหรือเข้าครอบครองที่ดินนั้น โดยเหตุนี้ เจ้าของที่ดินเช่นว่านี้ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่ผู้อาศัย
(2) ใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่นั้น ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(3) เนื่องจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลเรียกจำเลยเข้ามาในคดี อันเป็นอำนาจที่โจทก์และศาลจะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 ดังนั้น ฎีกาจำเลยที่ว่าก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวจำเลยร่วมและโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิของจำเลย จึงฟังไม่ขึ้น