พบผลลัพธ์ทั้งหมด 203 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลระงับข้อพิพาทเดิม และห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีก
ในคดีก่อนจำเลยฟ้องเรียกต้นเงินกู้เพราะดอกเบี้ยจากโจทก์อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา โจทก์ต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาเพราะโจทก์มอบนาให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ยอมใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง ดังนี้ โจทก์จะมาฟ้องจำเลยเรียกค่าขายประโยชน์การทำนาอ้างว่ามอบนาให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ยแล้วจำเลยมาฟ้องเรียกดอกเบี้ยอีก ทำให้โจทก์เสียหายนั้นไม่ได้ เพราะข้ออ้างที่ว่าโจทก์มอบนาให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ยนั้นได้ระงับสิ้นไปแล้ว ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้ว มีผลทำให้โจทก์ต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473-1474/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกของทายาทโดยไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตามมาตรา 1381 และอำนาจศาลในการบังคับแบ่งทรัพย์มรดก
จ.บุตรอาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของบิดามารดาครั้นบิดาตาย ที่ดินแปลงนั้นในส่วนที่เป็นสินสมรส ของบิดาก็เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทซึ่งมี จ.รวมอยู่ด้วย การที่จ. อยู่ในที่ดินมรดกนับแต่นั้นมา ได้ชื่อว่าเป็นการอยู่การครอบครองของทายาท ในทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกันตามมาตรา 1748 แล้ว โดยไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ทายาทของเจ้ามรดกมีโจทก์จำเลยกับคนอื่น รวม 11 คนเป็นทายาท คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกให้โจทก์ตามส่วน หากขัดข้องก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หรือมิฉะนั้น ให้จำเลยใช้เงินแก่โจกท์ ทั้ง 4 คน ๆ ละ 17,433.33 บาท ดังนี้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เอาที่ดินและบ้านอันเป็นมรดกมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน และว่าถ้าแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลกันเอง หรือขายทอดตลาดทรัพย์ที่จะต้องแบ่ง
(โดยมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ก็ได้)
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ทายาทของเจ้ามรดกมีโจทก์จำเลยกับคนอื่น รวม 11 คนเป็นทายาท คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกให้โจทก์ตามส่วน หากขัดข้องก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หรือมิฉะนั้น ให้จำเลยใช้เงินแก่โจกท์ ทั้ง 4 คน ๆ ละ 17,433.33 บาท ดังนี้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เอาที่ดินและบ้านอันเป็นมรดกมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน และว่าถ้าแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลกันเอง หรือขายทอดตลาดทรัพย์ที่จะต้องแบ่ง
(โดยมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ก็ได้)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473-1474/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทายาทในทรัพย์มรดกและการครอบครองทรัพย์สินโดยทายาทโดยไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ
จ.บุตรอาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของบิดามารดา ครั้นบิดาตายที่ดินแปลงนั้นในส่วนที่เป็นสินสมรสของบิดาก็เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทซึ่งมี จ.รวมอยู่ด้วย การที่จ. อยู่ในที่ดินมรดกนับแต่นั้นมาได้ชื่อว่าเป็นการอยู่การครอบครองของทายาทในทรัพย์มรดก ซึ่งยังมิได้แบ่งกันตามมาตรา 1748 แล้ว โดยไม่ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ทายาทของเจ้ามรดกมีโจทก์จำเลยกับคนอื่นรวม 10 คนเป็นทายาท คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกให้โจทก์ตามส่วน หากขัดข้องก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยหรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้ง 4 คนๆ ละ 17,433.33 บาท ดังนี้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เอาที่ดินและบ้านอันเป็นมรดกมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน และว่าถ้าแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลกันเองหรือขายทอดตลาดทรัพย์ที่จะต้องแบ่ง (โดยมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ก็ได้)
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ทายาทของเจ้ามรดกมีโจทก์จำเลยกับคนอื่นรวม 10 คนเป็นทายาท คำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกให้โจทก์ตามส่วน หากขัดข้องก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยหรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้ง 4 คนๆ ละ 17,433.33 บาท ดังนี้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เอาที่ดินและบ้านอันเป็นมรดกมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน และว่าถ้าแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลกันเองหรือขายทอดตลาดทรัพย์ที่จะต้องแบ่ง (โดยมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ก็ได้)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉุดคร่าห์และการข่มขืนเป็นคนละกรรมต่างวาระ แม้มีเจตนาเชื่อมโยงกัน
จำเลยฉุดคร่าห์หญิงไปเพื่อการอนาจารแล้วต่อมาในวันเดียวกันจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราหญิงนั้นด้วย ถือว่าความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ในคดีหนึ่งไปแล้ว ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราในอีกคดีหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฉุดคร่าและการข่มขืนเป็นคนละกรรมต่างวาระ แม้มีเจตนาเชื่อมโยงกัน
จำเลยฉุดคร่าหญิงไปเพื่อการอนาจาร แล้วต่อมาในวันเดียวกันจำเลยได้ ข่มขืนกระทำชำเราหญิงนั้นด้วย ถือว่าความผิดฐานพาหญิงไปเพื่ออนาจารและความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารในคดีหนึ่งไปแล้ว ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราในอีกคดีหนึ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนชื่อออกจาก ส.ค.1 เมื่อมีข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดิน ต้องเริ่มคดีด้วยการยื่นฟ้อง
การร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนชื่อบุคคลผู้ไม่มีสิทธิออกจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1 ) นั้น เห็นได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น ระหว่างผู้ร้องกับผู้มีชื่อในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ว่าใครมีสิทธิเหนือที่ดินดีกว่ากัน เป็นคดีมีข้อพิพาทแล้ว จึงต้องเริ่มคดีโดยทำเป็นคำฟ้องต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1464/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน: การเพิกถอน ส.ค.1 เมื่อมีการโต้แย้งสิทธิครอบครอง และการเริ่มคดีโดยคำฟ้อง
การร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนชื่อบุคคลผู้ไม่มีสิทธิออกจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)นั้น เห็นได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับผู้มีชื่อในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ว่าใครมีสิทธิเหนือที่ดินดีกว่ากัน เป็นคดีมีข้อพิพาทแล้ว จึงต้องเริ่มคดีโดยทำเป็นคำฟ้องต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรสและการบังคับชำระหนี้ส่วนตัว: สิทธิในเงินจากการขายทอดตลาด
สามีไปกู้เงินโจทก์โดยภรรยามิได้รู้เห็นยินยอมหรือรับประโยชน์ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภรรยานั้นมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ภรรยาก็มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสินสมรสเมื่อเจ้าหนี้บังคับยึดทรัพย์จากหนี้ส่วนตัวของสามี ภรรยาจึงมีสิทธิในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดครึ่งหนึ่ง
สามีไปกู้เงินโจทก์โดยภรรยามิได้รู้เห็นยินยอมหรือรับประโยชน์ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภรรยานั้นมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ภรรยาก็มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งภารจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี แม้ใช้เฉพาะช่วงเวลาที่ทำนา การปิดกั้นทางเป็นเหตุละเมิด
โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทของจำเลยเป็นทางเดินผ่านทุกปีเมื่อสิ้นฤดูทำนา เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ภาระจำยอมย่อมเกิดขึ้นเป็นคุณแก่ที่ดินของโจทก์แล้ว แม้โจทก์จะมิได้ใช้ทางพิพาทในฤดูทำนาก็ตาม ก็หาทำให้การใช้ทางนั้นขาดตอนไม่ติดต่อกันได้ไม่ จำเลยจะปิดกั้นหรือขุดบ่อ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางดังกล่าวหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2506)