พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ผู้ตายยิงก่อน แต่จำเลยเป็นผู้เริ่มก่อเหตุ
ในเวลากลางคืน จำเลยกับพวกถือปืนขึ้นไปหาผู้ตายบนเรือนของ ส. เพื่อจะทำร้ายผู้ตายเพราะความโกรธเคืองผู้ตายไปเบิกความเป็นพยานในคดีจำเลยปล้นทรัพย์ จนศาลพิพากษาจำคุกจำเลยและจำเลยอาฆาตไว้ และขึ้นไปยืนคุมในลักษณะจะทำร้ายผู้ตายถือว่าจำเลยกับพวกเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนผู้ตายใช้ปืนยิงต่อสู้ป้องกันตน เพราะจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนคนละกระบอกขู่ผู้ตาย แม้กระสุนปืนของผู้ตายจะลั่นออกไปก่อนจำเลยจะอ้างเหตุว่าจำเลยกระทำไปโดยป้องกันหาได้ไม่
แม้ผู้ตายถูกกระสุนปืนของพวกจำเลยยิง มิใช่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นความผิดไปได้เพราะจำเลยกับพวกร่วมขึ้นไปจะทำร้ายผู้ตายเป็นการร่วมกันกระทำผิดจำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้ตาย
แม้ผู้ตายถูกกระสุนปืนของพวกจำเลยยิง มิใช่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นความผิดไปได้เพราะจำเลยกับพวกร่วมขึ้นไปจะทำร้ายผู้ตายเป็นการร่วมกันกระทำผิดจำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยมีเจตนาและร่วมกันกระทำความผิด แม้ผู้ถูกกระทำจะยิงก่อนแต่ไม่ถือว่าเป็นการป้องกันตัว
ในเวลากลางคืน จำเลยกับพวกถือปืนขึ้นไปหาผู้ตายบนเรือนของ ส. เพื่อจะทำร้ายผู้ตายเพราะความโกรธเคืองผู้ตายไปเบิกความเป็นพยานในคดีจำเลยปล้นทรัพย์ จนศาลพิพากษาจำคุกจำเลยและจำเลยอาฆาตไว้ และขึ้นไปยืนคุมในลักษณะจะทำร้ายผู้ตาย ถือว่าจำเลยกับพวกเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน ผู้ตายใช้ปืนยิงต่อสู้ป้องกันตน เพราะจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนคนละกระบอกขู่ผู้ตาย แม้กระสุนปืนของผู้ตายจะลั่นออกไปก่อน จำเลยจะอ้างเหตุว่าจำเลยกระทำไปโดยป้องกันหาได้ไม่
แม้ผู้ตายถูกกระสุนปืนของพวกจำเลยยิง มิใช่กระสุนปืนที่จำเลยยิง ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ เพราะจำเลยกับพวกร่วมขึ้นไปจะทำร้ายผู้ตาย เป็นการร่วมกันกระทำผิด จำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้ตาย
แม้ผู้ตายถูกกระสุนปืนของพวกจำเลยยิง มิใช่กระสุนปืนที่จำเลยยิง ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นความผิดไปได้ เพราะจำเลยกับพวกร่วมขึ้นไปจะทำร้ายผู้ตาย เป็นการร่วมกันกระทำผิด จำเลยต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกสินสมรสให้บุตรโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา: การให้ตามสมควรในทางศีลธรรมหรือสมาคม
โจทก์ฟ้องว่าสามีโจทก์นำสินสมรสไปยกให้จำเลยโดยเสน่หา โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ ขอให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างสามีโจทก์และมารดาจำเลย จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการยกให้นี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ดังนี้ถือว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการยกให้เป็นกรให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมหรือไม่นี้ ได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อนี้ได้
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3).
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกสินสมรสให้บุตรโดยไม่ได้รับความยินยอม: การพิจารณาการให้ตามสมควรทางศีลธรรมและสมาคม
โจทก์ฟ้องว่าสามีโจทก์นำสินสมรสไปยกให้จำเลยโดยเสน่หาโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือขอให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างสามีโจทก์และมารดาจำเลย จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการยกให้นี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางสมาคมนิยมเป็นข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 ดังนี้ถือว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการยกให้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมหรือไม่นี้ได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อนี้ได้
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3)
การยกที่ดิน 3 แปลงราคา 100,000 บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ให้บุตรของสามีโจทก์อันเกิดแต่ภริยาอีกคนหนึ่ง โดยในขณะยกให้ไม่ปรากฏว่าผู้ยกให้มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ย่อมไม่ใช่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: ทายาทต้องพิสูจน์การเช่าหากจำเลยอ้างซื้อขายและครอบครองนานกว่า
ที่พิพาทมีโฉนด โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ จำเลยอ้างว่าบิดามารดาโจทก์ขายที่พิพาทให้บิดามารดาจำเลยโดยมิได้มีการแก้ทะเบียนกัน ข้อเท็จจริงรับกันว่า บิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมา 40 ปีแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ศาลได้สั่งแสดงตามคำขอของจำเลยแล้ว เป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นทายาทเดิมจะต้องนำสืบแสดงว่าฝ่ายจำเลยได้ทำนาพิพาทโดยเช่าจากฝ่ายโจทก์ดังที่โจทก์อ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 280/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีครอบครองปรปักษ์ กรณีเจ้าของเดิมอ้างมรดก vs. ผู้ครอบครองอ้างซื้อขาย
ที่พิพาทมีโฉนด โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์จำเลยอ้างว่าบิดามารดาโจทก์ขายที่พิพาทให้บิดามารดาจำเลยโดยมิได้มีการแก้ทะเบียนกัน ข้อเท็จจริงรับกันว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมา 40 ปี แล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ศาลได้สั่งแสดงตามคำขอของจำเลยแล้วเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นทายาทเดิมจะต้องนำสืบแสดงว่าฝ่ายจำเลยได้ทำนาพิพาทโดยเช่าจากฝ่ายโจทก์ดังที่โจทก์อ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการเช่า: จดหมายรับสภาพหนี้และการเบิกความในคดีอาญาใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้
จำเลยได้เขียนจดหมายมีข้อความว่า 'ผมต้องขออภัยที่ยังหาบ้านที่เหมาะสมยังไม่ได้ จึงต้องอยู่ต่อไปอีกจนสิ้น พฤษภาคมนี้ ส่วนค่าเช่าที่ค้างอยู่ ผมจะได้จัดการชำระให้ในไม่ช้านี้' จดหมายฉบับนี้แม้จำเลยจะเขียนถึงพลเรือโทนัย นพคุณ ซึ่งมิใช่เป็นผู้ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทก็ตามแต่กรณีเป็นเรื่องจำเลยยอมรับว่าได้เช่าบ้านพิพาทและยังค้างค่าเช่าอยู่จริงเมื่อจำเลยได้ลงชื่อในจดหมายฉบับนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นหลักฐานการเช่าอันจะนำมาฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้
คำให้การของจำเลยในคดีอาญาที่เบิกความว่า จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นเดียวกัน
คำให้การของจำเลยในคดีอาญาที่เบิกความว่า จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารรับสภาพหนี้และคำให้การในคดีอาญาใช้เป็นหลักฐานการเช่าได้ แม้ทำกับบุคคลที่สาม
จำเลยได้เขียนจดหมายมีข้อความว่า "ผมต้องขออภัยที่ยังหาบ้านที่เหมาะสมยังไม่ได้ จึงต้องอยู่ต่อไปอีกจนสิ้น พ.ค. นี้ ส่วนค่าเช่าที่ค้างอยู่ ผมจะได้จัดการชำระให้เองในไม่ช้านี้" จดหมายฉบับนี้แม้จำเลยจะเขียนถึงพลเรือโทนัย นพคุณ ซึ่งมิใช่เป็นผู้ให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทก็ตาม แต่กรณีเป็นเรื่องจำเลยยอมรับว่า ได้เช่าบ้านพิพาทและยังค้างค่าเช่าอยู่จริง เมื่อจำเลยได้ลงชื่อในจดหมายฉบับนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นหลักฐานการเช่าอันจะนำมาฟ้องร้องขอให้บังคับคดีได้
คำให้การของจำเลยในคดีอาญาที่เบิกความว่าจำเลยได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นเดียวกัน.
คำให้การของจำเลยในคดีอาญาที่เบิกความว่าจำเลยได้เช่าบ้านพิพาทของโจทก์นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการเช่าในอันที่จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องจำเลยได้เช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำรับสารภาพชั้นสอบสวนประกอบพยานหลักฐานอื่น และการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน
คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไว้โดยชอบย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยได้และศาลย่อมอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนประกอบคำพยานบุคคลของโจทก์ได้
การกระทำของจำเลยที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธปืนยิงแม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงทำร้ายเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่าก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้
การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้นเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลยหรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 บัญญัติเป็นความผิดแล้ว ต้องลงโทษตามมาตรา 140
การกระทำของจำเลยที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธปืนยิงแม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงทำร้ายเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่าก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้
การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้นเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลยหรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 บัญญัติเป็นความผิดแล้ว ต้องลงโทษตามมาตรา 140
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพชั้นสอบสวนใช้เป็นหลักฐานได้, การขัดขวางเจ้าพนักงาน, การวินิจฉัยนอกคำฟ้อง
คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนไว้โดยชอบ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยได้ และศาลย่อมอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนประกอบคำพยานบุคคลของโจทก์ได้
การกระทำของจำเลยที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธปืนยิง แม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงทำร้ายเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่า ก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้
การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้น เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลย หรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 บัญญัติเป็นความผิดแล้ว ต้องลงโทษตามมาตรา 140.
การกระทำของจำเลยที่ฟังได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้ไล่จับจำเลยต่อไปนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งตามฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยบังอาจต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธปืนยิง แม้จะยังไม่ถึงขั้นยิงทำร้ายเจ้าพนักงานโดยเจตนาฆ่า ก็หาใช่นอกข้อหาคำฟ้องของโจทก์ไม่ เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ยังลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงนั้นได้
การที่จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่ตำรวจมิให้ไล่จับกุมจำเลยต่อไปนั้น เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานมิให้จับกุมจำเลย หรือมิให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 บัญญัติเป็นความผิดแล้ว ต้องลงโทษตามมาตรา 140.