พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นจากการป้องกันตนเองและครอบครัว เมื่อถูกบุกรุกและข่มเหง
คืนเกิดเหตุ ม.พาผู้ตายมาบ้านจำเลยเพื่อเอาตัว ป.ภริยา ม. ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยไป ได้พากันขึ้นไปบนเรือนจำเลยซึ่งจำเลยกับพวกนอนกันแล้ว ม.เรียก ป.ให้เปิดประตู ป.ไม่เปิด ม.ก็ดันประตูจะเข้าไป จำเลยลุกขึ้นขัดขวาง ม.และผู้ตายขัดขืนจะเข้าไปเอาตัว ป. ให้ได้ ดันประตูเรือนจนไม้กลอนขัดประตูหัก นับว่า ม. และผู้ตายกระทำการมิชอบ ด้วยความอุกอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาและเจ้าของบ้าน เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น จึงยิงไปยัง ม.และผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองและทรัพย์สินในที่อยู่อาศัยเมื่อถูกบุกรุกจนเกิดเหตุทำร้ายถึงแก่ความตาย
คืนเกิดเหตุ ม. พาผู้ตายมาบ้านจำเลยเพื่อเอาตัว ป.ภริยา ม. ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยไป ได้พากันขึ้นไปบนเรือนจำเลยซึ่งจำเลยกับพวกนอนกันแล้ว ม. เรียก ป. ให้เปิดประตูป. ไม่เปิด ม. ก็ดันประตูจะเข้าไปจำเลยลุกขึ้นขัดขวาง ม. และผู้ตายขัดขืนจะเข้าไปเอาตัว ป. ให้ได้ ดันประตูเรือนจนไม้กลอนขัดประตูหัก นับว่า ม. และผู้ตายกระทำการมิชอบ ด้วยความอุกอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาและเจ้าของบ้านเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจึงยิงไปยัง ม. และผู้ตายผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดคดีขับไล่: ผู้ให้เช่าไม่มีส่วนได้เสียในผลคดีระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของที่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกพิพาทอ้างว่าอยู่โดยละเมิด จำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในตึกพิพาท โดยเช่าจากผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ร้องได้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) อ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ดังนี้การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยแม้จำเลยจะไปทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องในภายหลัง ผลแห่งคดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องอย่างใด จึงไม่ถือว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และการที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) นั้นก็อยู่ในอำนาจศาลที่จะพิจารณาว่าคดีมีเหตุผลสมควรที่จะอนุญาตหรือไม่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดคดีขับไล่: ผู้ร้องต้องมีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดีจึงจะได้รับการอนุญาต
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกพิพาทอ้างว่าอยู่โดยละเมิด จำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในตึกพิพาทโดยเช่าจากผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ร้องได้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) อ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ดังนี้ การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย แม้จำเลยจะไปทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องในภายหลัง ผลแห่งคดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องอย่างใด จึงไม่ถือว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และการที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) นั้น ก็อยู่ในอำนาจศาลที่จะพิจารณาว่าคดีมีเหตุผลสมควรที่จะอนุญาตหรือไม่ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ต้องยื่นภายใน 10 วัน แม้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์แล้ว ก็ยกได้หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลไม่รับอุทธรณ์ ต้องยื่นภายใน 10 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 หากยื่นเกินกำหนด แต่ศาลอุทธรณ์ก็สั่งให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกอุทธรณ์นั้นในภายหลังได้ส่วนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้รับหรือปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุดนั้นหมายความเพียงว่าจะฎีกาต่อไปไม่ได้เท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่าแม้คำสั่งที่สั่งให้รับอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์จะแก้ไขอะไรไม่ได้เสียเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ต้องยื่นภายใน 10 วัน แม้ศาลอุทธรณ์รับไว้ ก็ยกได้หากไม่ชอบด้วย กม.
อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลไม่รับอุทธรณ์ ต้องยื่นภายใน 10 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 หากยื่นเกินกำหนด แต่ศาลอุทธรณ์ก็สั่งให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกอุทธรณ์นั้นในภายหลังได้ ส่วนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้รับหรือปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์เป็นที่สุดนั้น หมายความเพียงว่าจะฎีกาต่อไปไม่ได้เท่านั้น มิได้หมายความเลยไปถึงว่าแม้คำสั่งที่สั่งให้รับอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขอะไรไม่ได้เสียเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันหนี้เกินวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ทำให้ไม่ต้องรับผิด
วัตถุประสงค์ของห้างจำเลยซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่จดทะเบียนไว้มีว่า เพื่อประกอบพานิชการในประเภททำการค้าสินค้าพื้นเมือง ทำการสั่งสินค้าเข้าและส่งสินค้าออก ทำการค้าเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ทำการเป็นนายหน้าและตัวแทนต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อผู้จัดการของจำเลยไปทำสัญญาค้ำประกันหนี้ จึงเป็นการกระทำนอกวัตถุประสงค์ของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันหนี้เกินวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ทำให้ไม่ต้องรับผิด
วัตถุประสงค์ของห้างจำเลยซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่จดทะเบียนไว้มีว่าเพื่อประกอบพานิชการในประเภททำการค้าสินค้าพื้นเมืองทำการสั่งสินค้าเข้าและส่งสินค้าออกทำการค้าเครื่องอุปโภค บริโภคต่างๆ ทำการเป็นนายหน้าและตัวแทนต่างๆดังนั้น เมื่อผู้จัดการของจำเลยไปทำสัญญาค้ำประกันหนี้ จึงเป็นการกระทำนอกวัตถุประสงค์ของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมกำหนดให้บริจาคเงินและทรัพย์สินเพื่อการกุศล มิใช่เงื่อนไขทำให้พินัยกรรมมีผล
ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีคนหนึ่งนั้น มิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลบังคับใช้พินัยกรรม: การมอบเงินให้กรมการศาสนาเพื่อบำรุงกุศล ไม่เป็นเงื่อนไขทำให้พินัยกรรมมีผล
ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นมิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไข หรือ ข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)