พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 791-792/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางสัญญาซื้อขายเพื่อเลี่ยงเจ้าหนี้ สัญญาใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา 118
โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไป แล้วมอบนาให้ทำกินต่างดอกเบี้ย
จำเลยให้โจทก์ทำเป็นสัญญาขายนาพิพาทอำพรางไว้ให้แก่จำเลยเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นมายึดเอาที่นาพิพาทได้สัญญาขายนาพิพาทใช้บังคับแก่คู่กรณีไม่ได้ตามมาตรา 118แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยให้โจทก์ทำเป็นสัญญาขายนาพิพาทอำพรางไว้ให้แก่จำเลยเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นมายึดเอาที่นาพิพาทได้สัญญาขายนาพิพาทใช้บังคับแก่คู่กรณีไม่ได้ตามมาตรา 118แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาและเหตุผลในการพิจารณาความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ผู้ตายและจำเลยต่างเสพสุรามึนเมาแล้วเกิดท้าทายวิวาทกัน จำเลยเตะผู้ตายถูกตรงท้องน้อยขณะที่ผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลย เมื่อผู้ตายเซห่างออกไป จำเลยก็มิได้ตามไปเตะซ้ำ ครั้นเมื่อผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลย จำเลยจึงเตะซ้ำอีก การกระทำเช่นนั้นส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่ามิได้ตั้งใจจะฆ่าผู้ตาย ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยไม่มีเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายโดยไม่เจตนา: พิจารณาเจตนาจากพฤติการณ์
ผู้ตายและจำเลยต่างเสพสุรามึนเมาแล้วเกิดท้าทายวิวาทกัน
จำเลยเตะผู้ตายถูกตรงท้องน้อยขณะที่ผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลยเมื่อผู้ตายเซห่างออกไป จำเลยก็มิได้ตามไปเตะซ้ำครั้นเมื่อผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลย จำเลยจึงเตะซ้ำอีก การกระทำเช่นนั้นส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่ามิได้ตั้งใจจะฆ่าผู้ตายดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยไม่มีเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290
จำเลยเตะผู้ตายถูกตรงท้องน้อยขณะที่ผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลยเมื่อผู้ตายเซห่างออกไป จำเลยก็มิได้ตามไปเตะซ้ำครั้นเมื่อผู้ตายวิ่งเข้าไปหาจำเลย จำเลยจึงเตะซ้ำอีก การกระทำเช่นนั้นส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่ามิได้ตั้งใจจะฆ่าผู้ตายดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยไม่มีเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนเวลาหนี้และการรับสภาพหนี้ใหม่โดยมีประกัน การตีความเจตนาของเจ้าหนี้
โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือน ย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลา เมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกัน ต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้น โจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนเวลาชำระหนี้และทำสัญญาจำนองย่อมแสดงเจตนาที่จะไม่บังคับชำระหนี้เดิมจนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาจำนอง
โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือนย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกันต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้นโจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การแจ้งการครอบครอง, ที่ดินสาธารณสมบัติ, และการเพิกถอนสิทธิ
การที่จะฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหน มิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดงกรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน
เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่องๆไปแล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้
แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้วแต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)
เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่องๆไปแล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้
แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้วแต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การแจ้งการครอบครอง, ที่ดินสาธารณะ, และการเพิกถอนสิทธิ
การที่จะฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองอยู่ตรงไหน มิได้มีกฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีจึงไม่ต้องห้ามในการที่จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองไว้นั้นเป็นที่ดินตรงไหน
เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้
แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509 เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)
เรื่องจะกำหนดให้ฝ่ายใดต้องเสียค่าทนายความให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าใดนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจกำหนดให้เป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่รูปคดี มิใช่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์ แล้วศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยเสียค่าทนายความอย่างสูงแก่โจทก์เสมอไป
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำเลยเพิ่งเข้าครอบครองภายหลังวันประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการเข้าครอบครองโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้กับรัฐได้
แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าตลอดมา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อจำเลยมิได้แจ้งการครอบครองภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ ต้องถือว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว รัฐมีอำนาจจัดที่ดินนั้นได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2509 เป็นการประชุมเพื่อหาคณะ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้: พยานเบิกความรับรองความเข้าใจของจำเลยถือเป็นการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ
เมื่อพยานในสัญญากู้คนหนึ่งอ่านสัญญาที่โจทก์และจำเลยนำมาให้อ่านแล้ว เห็นว่าตรงลายพิมพ์นิ้วมือยังไม่ได้เขียนระบุว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยพยานคนนั้นจึงให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อความดังกล่าวกำกับไว้ที่ลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยต่อหน้าจำเลยพฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้รับรองแล้วว่าลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญานั้นคือลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยนอกจากนี้เมื่อพยานในสัญญากู้ทั้งสองคนอ่านสัญญาแล้ว ได้สอบถามโจทก์จำเลยว่าได้อ่านสัญญากันดีแล้วหรือ โจทก์และจำเลยต่างรับรองว่าเข้าใจเรียบร้อยแล้ว พยานทั้งสองคนจึงลงชื่อเป็นพยานพฤติการณ์เช่นนี้พอถือได้เช่นเดียวกันว่าจำเลยได้รับรองต่อพยานทั้งสองว่าลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญากู้เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้: พยานเบิกความรับรองการยอมรับของจำเลยต่อหน้าพยาน ถือเป็นหลักฐานการรับรองได้
เมื่อพยานในสัญญากู้คนหนึ่งอ่านสัญญาที่โจทก์และจำเลยนำมาให้อ่านแล้ว เห็นว่าตรงลายพิมพ์นิ้วมือยังไม่ได้เขียนระบุว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือจำเลย พยานคนนั้นจึงให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อความดังกล่าวกำกับไว้ที่ลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยต่อหน้าจำเลย พฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้รับรองแล้วว่าลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญานั้นคือลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย นอกจากนี้เมื่อพยานในสัญญากู้ทั้งสองคนอ่านสัญญาแล้วได้สอบถามโจทก์จำเลยว่าได้อ่านสัญญากันดีแล้วหรือ โจทก์และจำเลยต่างรับรองว่าเข้าใจเรียบร้อยแล้ว พยานทั้งสองคนจึงลงชื่อเป็นพยาน พฤติการณ์เช่นนี้พอถือได้เช่นเดียวกันว่าจำเลยได้รับรองต่อพยานทั้งสองว่าลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญากู้เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยการครอบครอง และผลของการมีชื่อใน ส.ค.1 และใบเสร็จค่าบำรุง
แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งแสดงว่าขณะยื่น ส.ค.1 นั้นผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งเท่านั้นส่วนความจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองนั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน
จำเลยได้จัดการออก น.ส.3 ในที่พิพาทเป็นชื่อของจำเลยก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น หากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ก็ได้สิทธิครอบครอง ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวก็ย่อมตกไป
ใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้เสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
จำเลยได้จัดการออก น.ส.3 ในที่พิพาทเป็นชื่อของจำเลยก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น หากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ก็ได้สิทธิครอบครอง ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวก็ย่อมตกไป
ใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้เสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง