คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
โพยม เลขยานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,126 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองบุตรโดยไม่จดทะเบียนสมรส: พฤติการณ์เปิดเผยความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเพียงพอตามกฎหมาย
พยานโจทก์เบิกความถึงพฤติการณ์ต่างๆ ของโจทก์จำเลยตามที่ตนเห็นย่อมเป็นประจักษ์พยาน มิใช่พยานบอกเล่า
จำเลยมิได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จำเลยได้แสดงโดยเปิดเผยต่อลูกจ้างเพื่อนและลูกจ้างของโจทก์ให้เห็นความสัมพันธ์ที่โจทก์จำเลยมีต่อกันฉันชู้สาว โจทก์ได้เล่าให้มารดาและเพื่อนๆ ฟังถึงการได้เสียและความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์และคลอดบุตรอันแสดงว่าไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างลักลอบปกปิด กรณีต้องด้วยมาตรา 1529(4) ที่โจทก์จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ไม่จำเป็นต้องมีพฤติการณ์ถึงขนาดอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจริงๆ แต่มิได้จดทะเบียนเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองบุตรโดยมิได้จดทะเบียนสมรส: การอยู่ร่วมกันอย่างเปิดเผยและการแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นหลักฐานสำคัญ
พยานโจทก์เบิกความถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ของโจทก์จำเลยตามที่ตนเห็น ย่อมเป็นประจักษ์พยาน มิใช่พยานบอกเล่า
จำเลยมิได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จำเลยได้แสดงโดยเปิดเผยต่อลูกจ้างเพื่อนและลูกจ้างของโจทก์ ให้เห็นความสัมพันธ์ที่โจทก์จำเลยมีต่อกันฉันชู้สาว โจทก์ได้เล่าให้มารดาและเพื่อน ๆ ฟังถึงการได้เสียและความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งก่อนและหลังตั้งครรภ์และคลอดบุตร อันแสดงว่าไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างลักลอบปกปิด กรณีต้องด้วยมาตรา 1529(4) ที่โจทก์จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ ไม่จำเป็นต้องมีพฤติการณ์ถึงขนาดอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจริง ๆ แต่มิได้จดทะเบียนเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์เกิน 10 ปี แม้มีชื่อเจ้าของเดิม
ที่พิพาทเป็นที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีย่อมได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน ที่ดินพิพาทถูกทิ้งร้างและจำเลยครอบครองเกิน 10 ปี
ที่พิพาทเป็นที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751-752/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลตัดพยาน, การรับฟังพยานเพิ่มเติม, และผลของใบมอบอำนาจที่มิได้กรอกรายละเอียด
ศาลมีอำนาจตัดหรืองดสืบพยานตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีดำเนินไปโดยไม่ชักช้าในกรณีที่ศาลสอบทนายโจทก์ว่าจะสืบพยานต่อไปในข้อใดและทนายโจทก์แถลงว่ายังแถลงไม่ได้ขอสงวนไว้ก่อนแม้ทนายอีกฝ่ายแถลงว่าพยานที่จะสืบข้อใดหากรับข้อเท็จจริงได้ก็จะรับเพื่อไม่ให้คดีล่าช้าทนายโจทก์ก็ยังยืนยันเช่นเดิมดังนี้ การที่ทนายโจทก์ไม่แถลงให้ศาลทราบการประวิงคดีให้ชักช้า ศาลจึงชอบจะงดสืบพยานโจทก์ต่อไปได้
คำสั่งให้งดสืบพยานไม่ใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี
ผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจสั่งได้ตามมาตรา 21 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรม
การที่ศาลอนุญาตให้อ้างพยานเพิ่มเติมโดยมิได้สอบถามคู่ความอีกฝ่ายนั้น แม้จะเป็นการผิดระเบียบวิธีพิจารณาอยู่บ้างแต่ถ้าไม่เสียความเป็นธรรมแก่คู่ความอีกฝ่ายแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้ผู้อื่นทำการแทนถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อจำต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822,821
โจทก์ฟ้อง จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำนิติกรรมขายฝากโดยมิได้รับอนุญาตจากสามีและสามีได้บอกล้างแล้วดังนี้ คดีมีประเด็นที่จะต้องนำสืบว่าสามีจำเลยได้อนุญาตหรือไม่ทั้งสองฝ่ายมีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินนิคมสร้างตนเอง: การได้มาซึ่งสิทธิ และความเป็นผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเรือนในที่พิพาทของร้อยโทบุญเกิดซึ่งอ้างว่าได้รับจัดสรรจากนิคมสร้างตนเองดังนี้ ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2485 มาตรา 7,8 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่ดินที่นิคมจัดสรรให้นั้น ผู้ที่ได้รับจัดสรรต้องเข้าครอบครองทำประโยชน์และปฏิบัติการอย่างอื่นอีกจนเจ้าหนี้ที่ออกหนังสือรับรองว่าได้ทำประโยชน์และได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจองแล้วจึงจะพ้นจากการ เป็นที่หวงห้ามตามข้อเท็จจริง ร้อยโทบุญเกิดยังไม่ได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจอง ที่ดินรายนี้จึงยังไม่พ้นจากการเป็นที่หวงห้ามหรือนัยหนึ่งยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิด ฉะนั้น หากจะฟังว่าร้อยโทบุญเกิดได้รับจัดสรรมา ก็ยังไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิดแม้จำเลยเข้าครอบครองก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนสิทธิหรือการครอบครองของร้อยโทบุญเกิดร้อยโทบุญเกิดจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินจัดสรรนิคมสร้างตนเองต้องเข้าทำประโยชน์และมีเอกสารรับรองสิทธิ จึงจะพ้นจากการเป็นที่ดินสาธารณะ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกเรือนในที่พิพาทของร้อยโทบุญเกิดซึ่งอ้างว่าได้รับจัดสรรจากนิคมสร้างตนเอง ดังนี้ ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2485 มาตรา 7, 8 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ที่ดินที่นิคมจัดสรรให้นั้น ผู้ที่ได้รับจัดสรรต้องเข้าครอบครองทำประโยชน์และปฏิบัติการอย่างอื่นอีกจนเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองว่าได้ทำประโยชน์ และได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจองแล้ว จึงจะพ้นจากการเป็นที่หวงห้าม ตามข้อเท็จจริง ร้อยโทบุญเกิดยังไม่ได้รับโฉนดแผนที่หรือตราจอง ที่ดินรายนี้จึงยังไม่พ้นจากการเป็นที่หวงห้ามหรือนัยหนึ่งยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิด ฉะนั้นหากจะฟังว่าร้อยโทบุญเกิดได้รับจัดสรรมา ก็ยังไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ ที่พิพาทยังไม่เป็นของร้อยโทบุญเกิด แม้จำเลยเข้าครอบครองก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนสิทธิหรือการครอบครองของร้อยโทบุญเกิด ร้อยโทบุญเกิดจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23: ศาลมีอำนาจขยายเวลาเองได้ แม้ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ
"เหตุสุดวิสัย" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 หมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาหรือคู่ความมีคำขอเช่นนั้นขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งได้ มิได้หมายถึงว่า "พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาไม่อาจกระทำได้ภายในกำหนดนั้นต้องเป็นเหตุสุดวิสัย เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 23 จึงไม่จำต้องเป็นเหตุอันเกิดจากภัยธรรมชาติซึ่งไม่มีใครอาจป้องกันได้ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 หากมีพฤติการณ์นอกเหนือที่ศาลไม่อาจมีคำสั่งขยายเวลาให้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ในการดำเนินกระบวนพิจารณา ย่อมนับได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย การสั่งขยายเวลาศาลมีอำนาจสั่งเองได้ โดยคู่ความไม่ต้องร้องขอ
ระยะเวลา 14 วันที่กำหนดให้ลูกหนี้ของบุคคลล้มละลายปฏิเสธหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 119 นั้น ศาลอาจสั่งขยายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 และการที่เจ้าหนี้ปฏิเสธหนี้ส่งทางไปรษณีย์ถึงเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ช้าไป 1 วันนั้น ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะสั่งขยายเมื่อพ้นกำหนดเวลาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ศาลมีอำนาจขยายเวลาได้ แม้ไม่มีคำร้อง
'เหตุสุดวิสัย' ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา23 หมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาหรือคู่ความมีคำขอเช่นนั้นขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งได้มิได้หมายถึงว่า'พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาไม่อาจกระทำได้ภายในกำหนดนั้นต้องเป็นเหตุสุดวิสัยเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 23 จึงไม่จำต้องเป็นเหตุอันเกิดจากภัยธรรมชาติซึ่งไม่มีใครอาจป้องกันได้ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 หากมีพฤติการณ์นอกเหนือที่ศาลไม่อาจมีคำสั่งขยายเวลาให้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาย่อมนับได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยการสั่งขยายเวลาศาลมีอำนาจสั่งเองได้ โดยคู่ความไม่ต้องร้องขอ
ระยะเวลา 14 วันที่กำหนดให้ลูกหนี้ของบุคคลผู้ล้มละลายปฏิเสธหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 119 นั้นศาลอาจสั่งขยายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 และการที่เจ้าหนี้ปฏิเสธหนี้ส่งทางไปรษณีย์ถึงเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ช้าไป 1 วันนั้น ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะสั่งขยายเมื่อพ้นกำหนดเวลาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องบุคคลภายนอกสัญญา, ความรับผิดตัวแทน, และดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฟ้องบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่คู่สัญญาฐานผิดสัญญา และขอให้บังคับตามสัญญานั้นเป็นฟ้องที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นเองเพื่อยกฟ้องโจทก์ได้
ตัวแทนซึ่งทำสัญญาแทนตัวการที่อยู่ต่างประเทศ อาจถูกฟ้องให้รับผิดลำพังตัวเองได้
แม้ในสัญญาจะไม่ได้กำหนดว่าเมื่อผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้เสียดอกเบี้ยก็ตาม เมื่อลูกหนี้ในสัญญานั้นผิดนัด ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
of 113