คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
โพยม เลขยานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,126 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่อนุญาตถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องต้องโต้แย้งเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ภายหลังมีคำพิพากษา
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วมนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหากผู้ร้องไม่เห็นพ้อง ก็มีสิทธิเพียงแต่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อสิทธิอุทธรณ์ในเมื่อได้พิจารณาหรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้วเท่านั้น ผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
เมื่อฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาให้เป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้วแต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่อนุญาตถอนตัวจากจำเลยร่วมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา อุทธรณ์ต้องรอจนกว่ามีคำพิพากษา
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วมนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากผู้ร้องไม่เห็นพ้อง ก็มีสิทธิเพียงแต่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ในเมื่อศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้วเท่านั้น ผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226
เมื่อฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาให้เป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของเจ้าของรวม, การเช่าเพื่อประกอบการค้า vs. อยู่อาศัย, และการบอกเลิกสัญญาเช่า
เจ้าของรวมแต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งตนมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1359 โดยไม่ต้องรับมอบอำนาจจากเจ้าของรวมคนอื่นๆ
เมื่อจำเลยอ้างสิทธิว่าที่พิพาทจำเลยปลูกสร้างเคหะใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายก็ต้องวินิจฉัยตามสภาพที่เป็นจริงแห่งการเช่าว่าเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการค้า ซึ่งคู่ความอาจนำสืบพยานบุคคลได้ ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหนังสือสัญญาเช่า อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะการเช่าที่มีการอ้างถึงความคุ้มครองเช่นนี้ย่อมฟ้องร้องกันได้ โดยไม่ต้องอาศัยหลักฐานเป็นหนังสือ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของเจ้าของรวม และการพิสูจน์ลักษณะการเช่าเพื่อใช้สิทธิคุ้มครอง
เจ้าของรวมแต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งตนมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้อื่นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 โดยไม่ต้องรับมอบอำนาจจากเจ้าของรวมคนอื่น ๆ
เมื่อจำเลยอ้างสิทธิว่าที่พิพาทจำเลยปลูกสร้างเคหะใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ก็ต้องวินิจฉัยตามสภาพที่เป็นจริงแห่งการเช่าว่าเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการค้า ซึ่งคู่ความอาจนำสืบพยานบุคคลได้ ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหนังสือสัญญาเช่า อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เพราะการเช่าที่มีการอ้างถึงความคุ้มครองเช่นนี้ย่อมฟ้องร้องกันได้ โดยไม่ต้องอาศัยหลักฐานเป็นหนังสือ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรรมการและการผูกพันสัญญา แม้ไม่เป็นไปตามข้อบังคับบริษัท
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการจัดการ จำเลยที่ 2 ได้ออกใบสั่งให้โจทก์ถมดินให้จำเลยที่ 1 โดยลงชื่อในใบสั่งนั้นคนเดียวแม้ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 จะมีว่า 'กรรมการสามนายร่วมกันลงลายมือชื่อในเอกสารสำคัญแทนบริษัทและต้องประทับตราสำคัญของบริษัทด้วย' ก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ผูกมัดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเพราะถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำการเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 และใบสั่งมิใช่เอกสารที่ผู้แทนจำเลยที่ 1 กระทำ
สัญญาจ้างถมที่ดินไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาสร้างและริบเงินมัดจำจากพฤติการณ์ที่ผู้ซื้ออพยพย้ายภูมิลำเนาและเงียบหาย
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้บิดาโจทก์และได้รับเงินมัดจำไปแล้ว โดยตกลงกันว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอภายใน 120 วัน ถ้าจำเลยผิดสัญญา จำเลยยอมคืนเงินมัดจำและยอมให้ปรับด้วยนั้น การที่มิได้ปฏิบัติการซื้อขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เพราะบิดาโจทก์อพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งไม่ได้มาขอปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนด ซ้ำยังปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษนั้น ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำและไม่ต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ด้วย.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญาจะซื้อขาย: อพยพย้ายภูมิลำเนา & เงียบหาย ถือเป็นการตกลงเลิกสัญญาโดยปริยาย
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้บิดาโจทก์และได้รับเงินมัดจำไปแล้ว โดยตกลงกันว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอภายใน 120 วัน ถ้าจำเลยผิดสัญญา จำเลยยอมคืนเงินมัดจำและยอมให้ปรับด้วยนั้น การที่มิได้ปฏิบัติการซื้อขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าวเพราะบิดาโจทก์อพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบทั้งไม่ได้มาขอปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนด ซ้ำยังปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษนั้นตามพฤติการณ์ถือได้ว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้วจำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำและไม่ต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ด้วย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิ้นสุดสิทธิเช่าเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต การชำระค่าเช่าหลังการเสียชีวิตไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าใหม่
สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่าเมื่อผู้เช่าตายสิทธิการเช่าย่อมสิ้นสุดจำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เช่าได้อยู่ในตึกพิพาทต่อมาก็ถือว่าอยู่ในฐานะบริวารของผู้เช่าดังนั้นการที่จำเลยชำระค่าเช่าจึงเป็นการชำระในนามของผู้เช่า ไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยอย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย สิทธิสิ้นสุด การชำระค่าเช่าหลังการตายไม่ก่อให้เกิดสัญญาใหม่
สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าตาย สิทธิการเช่าย่อมสิ้นสุด จำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้เช่าได้อยู่ในตึกพิพาทต่อมา ก็ถือว่าอยู่ในฐานะบริวารของผู้เช่า ดังนั้น การที่จำเลยชำระค่าเช่าจึงเป็นการชำระในนามของผู้เช่า ไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยอย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและความเชื่อมโยงกับจำเลยอื่น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องดังนี้ เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่3 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องแล้วแต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดกฎหมายดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นก็ได้สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1-2 ฉะนั้นมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นกรณีเดียวกันซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในเหตุลักษณะคดีคดีของโจทก์ต้องมีมูลทั้ง 3 คนนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
of 113