พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,126 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571-572/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การที่เจ้าของที่ได้สละการครอบครองที่ดินมีโฉนดโดยยกให้แก่วัด และวัดได้เข้าครอบครองที่นั้นเป็นเวลาเกินว่า 10 ปีแล้วเช่นนี้ วัดย่อมได้กรรมสิทธิ์ แม้ขณะยกให้แก่วัดจะไม่มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571-572/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้ไม่มีเอกสารทำเป็นหนังสือ
การที่เจ้าของที่ดินได้สละการครอบครองที่ดินมีโฉนดโดยยกให้แก่วัดและวัดได้เข้าครอบครองที่นั้นเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วเช่นนี้ วัดย่อมได้กรรมสิทธิ์ แม้ขณะยกให้แก่วัดจะไม่มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาจากเอกสารโดยรวม แม้จะแบ่งเป็นหลายตอน
บันทึกที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันแม้จะแบ่งเป็นหลายตอนก็ต้องอ่านตลอดเรื่องแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าบันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาจากเอกสารโดยรวม แม้จะแบ่งเป็นหลายตอน
บันทึกที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกัน แม้จะแบ่งเป็นหลายตอนก็ต้องอ่านตลอดเรื่องแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าบันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำบันทึกที่อำเภอว่า โจทก์จะชำระเงินที่กู้ไปให้ 6,400 บาท และจำเลยยอมคืนนาให้โจทก์ถึงวันนัดจำเลยไม่ยอมตามข้อตกลงขอให้ศาลบังคับนั้น เอกสารหมาย จ. 1 แบ่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1เป็นคำร้องของโจทก์ยื่นต่อนายอำเภอกล่าวหาว่าโจทก์ขายฝากนาไว้กับจำเลย โจทก์ขอไถ่จำเลยไม่ยอม ขอให้เรียกมาพูดจากันตอนที่ 2 เป็นบันทึกปากคำโจทก์ประกอบข้อกล่าวว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยโดยมอบนาพิพาทให้จำเลยยึดถือ โจทก์ลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ 3 เป็นบันทึกปากคำจำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า โจทก์ขายกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้จำเลยจำเลยลงชื่อท้ายบันทึกตอนที่ 4 เป็นบันทึกของปลัดอำเภอผู้สอบสวนและไกล่เกลี่ยว่าสอบโจทก์ โจทก์ยินดีให้เงิน จำเลย 6,400 บาท จะได้เข้าทำนาเป็นปกติเสียทีแล้วนัดชำระเงินและคืนสัญญากู้ให้แก่กันวันที่ 2 มิถุนายน 2504 โจทก์จำเลยลงชื่อท้ายบันทึก บันทึก ตอนที่ 2 ถึงตอนที่ 4 ทำวันเดียวต่อหน้าโจทก์จำเลยศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าอ่านเฉพาะตอนที่ 2 ที่ 3 อาจไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่บันทึกทั้ง 4 ตอนนี้เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันต้องอ่านตลอดเรื่องจะปรากฏข้อโต้เถียงว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยหรือขายให้ เป็นข้อพิพาทเมื่อจำเลยยอมรับเงินและย่อมคืนสัญญาให้โจทก์ สิทธิของจำเลยเหนือที่พิพาทก็สิ้นไปการต้องคืนที่พิพาทจึงเป็นเงาตามตัว ซึ่งโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นการระงับข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้นเอกสารหมาย จ. 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำบันทึกที่อำเภอว่า โจทก์จะชำระเงินที่กู้ไปให้ 6,400 บาท และจำเลยยอมคืนนาให้โจทก์ถึงวันนัดจำเลยไม่ยอมตามข้อตกลงขอให้ศาลบังคับนั้น เอกสารหมาย จ. 1 แบ่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1เป็นคำร้องของโจทก์ยื่นต่อนายอำเภอกล่าวหาว่าโจทก์ขายฝากนาไว้กับจำเลย โจทก์ขอไถ่จำเลยไม่ยอม ขอให้เรียกมาพูดจากันตอนที่ 2 เป็นบันทึกปากคำโจทก์ประกอบข้อกล่าวว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยโดยมอบนาพิพาทให้จำเลยยึดถือ โจทก์ลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ 3 เป็นบันทึกปากคำจำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า โจทก์ขายกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้จำเลยจำเลยลงชื่อท้ายบันทึกตอนที่ 4 เป็นบันทึกของปลัดอำเภอผู้สอบสวนและไกล่เกลี่ยว่าสอบโจทก์ โจทก์ยินดีให้เงิน จำเลย 6,400 บาท จะได้เข้าทำนาเป็นปกติเสียทีแล้วนัดชำระเงินและคืนสัญญากู้ให้แก่กันวันที่ 2 มิถุนายน 2504 โจทก์จำเลยลงชื่อท้ายบันทึก บันทึก ตอนที่ 2 ถึงตอนที่ 4 ทำวันเดียวต่อหน้าโจทก์จำเลยศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าอ่านเฉพาะตอนที่ 2 ที่ 3 อาจไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่บันทึกทั้ง 4 ตอนนี้เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันต้องอ่านตลอดเรื่องจะปรากฏข้อโต้เถียงว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยหรือขายให้ เป็นข้อพิพาทเมื่อจำเลยยอมรับเงินและย่อมคืนสัญญาให้โจทก์ สิทธิของจำเลยเหนือที่พิพาทก็สิ้นไปการต้องคืนที่พิพาทจึงเป็นเงาตามตัว ซึ่งโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นการระงับข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้นเอกสารหมาย จ. 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากลักทรัพย์เป็นทำลายทรัพย์สิน: จำเลยฎีกาไม่ได้ และต้องมีเหตุความจำเป็นหรือยากจน
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้ มิใช่ทรัพย์มามีราคาเล็กน้อยอย่างเดียว ผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเป็นหลักประกอบด้วย
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้ มิใช่ทรัพย์มามีราคาเล็กน้อยอย่างเดียว ผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเป็นหลักประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากลักทรัพย์เป็นขโมยทรัพย์: จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ย่อมต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงวันเวลาเกิดเหตุในฟ้องมีผลต่อการรับฟังพยานหลักฐานและทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ศาลต้องยกฟ้อง
ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณืใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญ นอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่างวัน – ข้อต่อสู้หลง – รับของโจร – ยกฟ้อง – ความสำคัญของวันเกิดเหตุ
ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญนอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์: ความสำคัญตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (12), 162, 165, 167 นั้น เป็นเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นส่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้าน จะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้อง และพิจารณาพิพากษาต่อไป
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นส่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้าน จะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้อง และพิจารณาพิพากษาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์: ความสำคัญต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม
กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(12),162,165,167 นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้านจะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้านจะเท่ากับรับว่า คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป