คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
คร้าม สิวายะวิโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยใช้อุบายหลอกลวงของลูกเขยต่อพ่อตาแม่ยาย ไม่ถือเป็นฉ้อโกง
จำเลยได้เสียกับบุตรสาวของผู้เสียหายแล้วพากันมาอยู่บ้านผู้เสียหายได้ 7-8 วัน จำเลยบอกผู้เสียหายว่าจะไปซื้อข้าวสารมาเก็บไว้กินในฤดูทำนา รุ่งขึ้นจำเลยเอาโคของผู้เสียหายเทียมเกวียนจะไปซื้อข้าวสาร ภริยาผู้เสียหายไปกับจำเลยด้วย เมื่อถึงที่หมายจำเลยปลดโคจากเกวียนแล้วก็แยกไป ต่อมาไม่นานจำเลยกลับมาถามภริยาผู้เสียหายว่า วัวกินน้ำแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวข้าวสารจะมาแล้วภริยาผู้เสียหายว่ายัง จำเลยจึงนำโคไปอ้างว่าจะนำไปให้กินน้ำ แล้วก็นำโคไปขายเสียพร้อมทั้งมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณโคให้ผู้ซื้อไปด้วย ดังนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อให้เห็นความทุจริตของจำเลยตั้งแต่ลอบเอาตั๋วพิมพ์รูปพรรณไปแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายฉันลูกเขยพ่อตาแม่ยาย จำเลยจะเอาโคไปใช้ได้ตามพลการของจำเลยโดยการวิสาสะหาจำต้องขอรับอนุญาตหรือความยินยอมดังเช่นบุคคลอื่นไม่ การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไปหาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 781/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้เป็นหลักประกันการชำระหนี้จากค่าจ้างเหมางาน การนำสืบข้อตกลงอันแท้จริงทำได้ ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเดิม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์และรับเงินไปแล้ว โจทก์ไปทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้และรับเงินโจทก์ โจทก์เชิด พ. เป็นตัวแทนรับจ้างเหมาทำงานของทางราชการ แล้วให้จำเลยกับพ.เป็นผู้ลงแรงและเพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อจำเลยกับพ. รับเงินค่าจ้างจากทางราชการแล้วจะนำมามอบให้โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยและ พ. ทำหนังสือสัญญากู้ไว้ให้คนละฉบับ โดยมิได้มีการรับเงินตามสัญญานั้น จำเลยกับ พ. ได้มอบเงินให้โจทก์ทุกครั้งที่รับมา คงเหลืองวดสุดท้ายที่ถูกทางราชการหักไว้เป็นค่าปรับ จึงไม่สามารถนำเงินมาให้โจทก์เพื่อขอสัญญากู้คืน ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ จำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้ เพราะเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่ทำสัญญากู้ขึ้นประการหนึ่ง กับนำสืบว่ามูลหนี้อันจะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์นั้นไม่มี อีกประการหนึ่ง (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผ่อนเวลาชำระหนี้: ผู้ค้ำประกันไม่หลุดพ้นความรับผิดหากเจ้าหนี้ไม่ได้ตกลงผ่อนเวลา
การที่เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ และการที่ผู้ค้ำประกันเตือนเจ้าหนี้ให้ฟ้องลูกหนี้และเจ้าหนี้ไม่ฟ้อง ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผ่อนเวลาอันจะทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยหลายกระทง, การเพิ่มโทษซ้ำ, และการนับโทษต่อเมื่อคดีเด็ดขาด
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจตามควรแก่เหตุการณ์ที่จะลงโทษเรียงกระทงความผิดหรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ เมื่อความผิดของจำเลยแต่ละกระทงมีโทษหนักเท่ากัน ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยกระทงหนึ่งกระทงใดแต่กระทงเดียวได้ (อ้างฎีกาที่ 167/2507)
จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 ในระหว่างที่ต้องรับโทษอยู่ จำเลยได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 อีก ดังนี้ความผิดฐานปล้นทรัพย์กับความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นความผิดคนละฐาน คนละข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 92 กรณีไม่ใช่กระทำผิดซ้ำในอนุมาตราเดียวกัน จะเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 92 ไม่ได้
โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอีกคดีหนึ่ง แต่คดีนั้นศาลยังมิได้พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลย่อมไม่นับโทษต่อให้ เพราะยังไม่มีโทษที่จะนับต่อให้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คงอุทธรณ์แต่โจทก์ฝ่ายเดียว เฉพาะในเรื่องขอให้เรียงกระทงลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยบางคนกับนับโทษจำเลยต่อจากคดีอีกคดีหนึ่งเท่านั้น ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ดังนี้ จำเลยจะรื้อฟื้นฎีกาขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่รับฟ้องถึงที่สุด การขาดอายุความอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ในข้อหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานประกอบโรคศิลปะโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต เป็นคำสั่งที่สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ที่ทำให้คดีของโจทก์ในกระทงข้อหานั้นเสร็จไป เมื่อโจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้ภายใน 15 วันอุทธรณ์ของโจทก์จึงขาดอายุความอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีและการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดี ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยาน
โจทก์ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำและโจทก์จะติดต่อกับทนายหรือพยานก็ต้องอาศัยญาติเป็นผู้แทน วันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายโจทก์ไปธุระจังหวัดอื่นไม่มีกำหนดกลับ หลักฐานดำเนินคดีอยู่ที่ทนายและยังติดต่อกันไม่ได้ด้วย โจทก์จึงขอเลื่อนคดีไป 2 เดือนเพื่อหาทนายใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนไป 14 วัน วันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 2 ทนายใหม่ติดคดีที่ศาลอื่น จะมาดำเนินคดีให้โจทก์ได้ในวันที่ 1 เดือนต่อไป (อีก 16 วัน) และมีหนังสือของทนายส่งศาลเพื่อเป็นการยืนยันคำแถลงประกอบกับโจทก์ประสงค์จะให้ทนายซักถามพยานให้ดังนี้ เห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีไปด้วยความจำเป็นมีเหตุผลสมควรมิได้ประวิงคดี จึงอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ได้
คดีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานสืบ จึงพิพากษายกฟ้องนั้น คำสั่งที่ไม่ให้เลื่อนคดีนี้ ศาลหาได้มีโอกาสฟังคำพยานหลักฐานข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้น เช่นนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10 หาได้กำหนดห้ามไว้ไม่ คู่ความจึงอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์มรดกโดยบุตร ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
เรือนพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลย ตามปกติให้คนเช่าโจทก์ (บิดาจำเลย) มิได้อยู่เอง เมื่อมารดาจำเลยตาย จำเลยซึ่งเป็นบุตรก็ถือว่าตนมีส่วนได้รับมรดกด้วย จึงได้ใช้สิทธิเข้าครอบครองเรือนพิพาทที่ว่างอยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิเข้าครอบครองทรัพย์มรดก มิได้มีเจตนาบุกรุกอันจะเป็นความผิดทางอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของตัวการต้องมีมูลจากการที่ตัวแทนติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3
ความรับผิดของตัวการในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนกระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ตัวการตั้งตัวแทนให้ไปทำการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นตัวการร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทน เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกถ่านของจำเลยที่2 ได้ทำการติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 อันจะเข้าลักษณะเป็นตัวแทนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการตัวแทนตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนองที่ดินโดยไม่สุจริต & ข้อจำกัดการนำสืบพยานภายหลัง
เจ้าของที่ดินลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้ผู้รับมอบอำนาจไปทำกิจการอย่างอื่น แต่ผู้รับมอบกลับนำไปกรอกข้อความเป็นให้จำนอง ถ้าผู้รับจำนองได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เจ้าของที่ดินจะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไม่ได้
ทนายความเขียนข้อความลงในด้านหลังนามบัตร แจ้งให้ผู้จำนองนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระภายในกำหนด 10 วันถือได้ว่าเป็นจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 721 แล้ว
คำให้การของจำเลยในตอนแรกว่า ใบมอบอำนาจปลอม จำเลยไม่ได้เซ็นใบมอบอำนาจนั้น ส่วนข้อความตอนหลังเป็นการเล่าเรื่องว่าจำเลยเคยเซ็นในใบมอบอำนาจฉบับหนึ่ง ซึ่งจำเลยจำไม่ได้ว่าเป็นฉบับเดียวกันกับที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ คำให้การของจำเลยเช่นนี้ มีประเด็นนำสืบได้
ศาลสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนเสร็จแล้ว จำเลยจะขออ้างพยานบุคคล ซึ่งควรจะอ้างเสียก่อนแล้วไม่อ้างย่อมทำให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสและการหย่า: การเพิกถอนทะเบียนสมรสไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ชายหญิงสมัครใจรักใคร่กัน และได้ยินยอมจดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ต่อมาชายหญิงคู่นี้ผิดใจกัน เมื่อจะให้การสมรสขาดจากกัน จะต้องขอหย่า และให้คู่สมรสลงชื่อในแบบพิมพ์คำร้องขอจดทะเบียนการหย่า จะมาร้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนสมรสที่คู่สมรสได้จดทะเบียนสมรสไว้โดยชอบแล้วหาได้ไม่
of 52